ถ้าชีวิตนี้ยังมีแรง อยากแนะนำให้ไป trekking ที่โตรกเสือกระโจนสักครั้ง
ใครที่กำลังจะเดินทางปลายปีนี้ แนะนำให้ไปเช็คตั๋วราคาดีดี๊ จาก Traveloka ได้เลยจ้าาา เพราะทาง Traveloka มีโปรโมชั่นราคาตั๋วแบบดีดี๊ตลอดทั้งปี ได้ตั๋วราคาดี ทริปเราจะมีชัยไปกว่าครั้งเลยเด้ออออออ ไปจองตั๋วกันเลยที่
จองตั๋วเครื่องบินไปจีน https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-china

เราไม่ใช่สาย Trekking หรอกค่ะ แต่ก็อยากจะเป็นสายนี้นะ แต่เมื่อปีที่แล้วจู่ๆเราก็พาตัวเองไปจีน ทั้งที่เป็นโรคกลัวจีน แถมยังไปเทรคที่ย่าติงบนความสูง 4000 กว่าเมตรจากระดับน้ำทะเลอีกต่างหาก
ใช่ค่ะ เราไม่ปกติเท่าไรนัก

ปีนี้เราอยากพาตัวเองไปเทรคอีกสักครั้งที่ไหนก็ได้ เราเลือกอยู่ไม่นานนักก็สรุปว่าตัวเองจะไปอินโดนีเซีย จะไปหาภูเขาไฟรินจานี เราตื่นเต้นกับทริปนี้มากๆๆ แต่เมื่อเดือนสิงหาคม (2018) ที่ผ่านมา จู่ๆก็มีข่าวแผ่นดินไหวที่ภูเขาไฟรินจานีอย่างรุนแรง ตอนนั้นเริ่มรู้ตัวแล้วค่ะ ว่าทริปที่ตื่นเต้นกับมันมากนั้น เราอาจจะไม่ได้ไปแล้ว เราติดตามข่าวอยู่พักใหญ่ๆ พร้อมกับสอบถามไปยังเอเจนซี่ที่เป็นทัวร์ปีนเขารินจานี จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ปีนี้ (2018) ภูเขารินจานีจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปตลอดทั้งปีที่เลย
สุดท้ายทริปรินจานีของเราก็ต้องพับเก็บเอาไว้สำหรับอนาคต
เรามานั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับทริปใหม่ ที่เราจะไปเทรคได้ใช้เวลาพอๆกับรินจานีหรือน้อยกว่า แต่ต้องสวยไม่แพ้กัน
เราใช้เวลาเลือกปลายทางอยู่ค่อนข้างนาน เลือกไปเลือกมาก็ไปสะดุดกับข้อมูลการเทรคด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีไกด์ ไม่ต้องจ้างลูกหาบ แล้วใช้เวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ปลายทางแห่งนั้นอยู่ที่ประเทศจีนค่ะ มันคือ เส้นทางเดินป่าโตรกเสือกระโจน ที่อยู่ใกล้กับเมืองลี่เจียง ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเราเคยไปมาแล้ว
เราอ่านข้อมูลคร่าวๆแล้วก็ตกลงกับตัวเองว่าเราจะไป Trekking ที่นี่แหละ โตรกเสือกระโจน

แพลนทริป

แพลนเดินทางของเราใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน
วันเริ่มต้น (Day0) : Bkk – Kunming
เราออกจากกรุงเทพตอน 21.35 น. ถึงคุนหมิงตอนตี 1 (ตอนดึก)
วันแรกของทริป (Day1) : Kunming – Lijiang
เราเดินทางจากคุนหมิงไปยังลี่เจียงตอน 7.10 น. ด้วยเครื่องบินภายในประเทศจะถึงลี่เจียงตอน 8.15 น. วันแรกจะเป็นการเที่ยวในเมืองเก่าลี่เจียง (นอนลี่เจียง)
วันที่สองของทริป (Day2) : Lijiang – Qiaotou (เริ่มTrekking)
เราจะเดินทางไปยังเมืองเฉียวโถว จุดเริ่มต้นเทรค ในเส้นทางโตรกเสือกระโจน และจะนอนเกสเฮ้าส์บนเขาตามเส้นทาง
วันที่สามของทริป (Day3) : Tina Gust House – Lijiang (จบTrekking)
วันนี้เราจะ Trekking จบตามเส้นทางโตรกเสือกระโจน โดยจะมาจบที่ Tina’s Guesthouse แล้วนั่งบัสเข้าเมืองลี่เจียง และนอนในเมืองลี่เจียง
วันที่สี่ของทริป (Day4) : Lijing – Kunming – Bkk
วันสุดท้ายของการอยู่ในจีน เราจะเที่ยวเก็บตกเมืองเก่าลี่เจียง จากนั้นนั่งเครื่องกลับมายังคุนหมิง เพื่อรอเครื่องกลับกรุงเทพตอนตี 1 (1.00 น.)
วันที่ห้าของทริป (Day5) : Bkk
เราจะมาถึงกรุงเทพตอนประมาณ ตี 3 (ตอนเช้า)
ก่อนเดินทาง
Visa
จะเดินทางไปจีนต้องมีวีซ่านะคะ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีซ่าจีนได้ที่ https://wp.me/p8RAsl-gp
ส่วนตัวเราๆขอวีซ่าจีนที่สงขลา ราคาวีซ่า 1000 บาทนะคะ ส่วนใครขอที่ กทม ราคาผ่านศูนย์ 1500 บาทค่ะ
เมืองต้นทางก่อน Trekking โตรกเสือกระโจน
การเดินทางมายังเมืองเฉียวโถว (Qiaotou) หรือกลับจากเมืองเฉียวโถว เราสามารถเดินทางได้จากสองเมือง คือ ลี่เจียง และ แชงกรีล่า ราคารถบัสจากลี่เจียงมายังเมืองเฉียวโถวราคา 40 หยวน
ทำความรู้จักโตรกเสือกระโจน
หุบเขาเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge, 虎跳峡, Hǔtiào Xiá) คือหนึ่งในหุบเขาที่มีความลึกมากที่สุดในโลกตั้งอยู่ห่างจากเมืองลี่เจียงในมณฑลยูนนานประเทศจีนไปทางทิศเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร
หุบเขานี้มีความยาว 15 กิโลเมตร ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่แม่น้ำไหลผ่านระหว่างภูเขาหิมะมังกรหยกที่สูง 5,596 เมตร และภูเขาหิมะฮาป๋าที่สูง 5,396 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำไหลเชี่ยวและอยู่ใต้หน้าผาสูง 2,000 เมตร ตามตำนานกล่าวว่า มีเสือตัวหนึ่งได้หนีการตามล่าจากนายพราน โดยกระโดดข้ามแม่น้ำที่จุดที่แคบที่สุด (กว้าง 25 เมตร) จึงเป็นที่มาของชื่อของช่องเขาแห่งนี้
อ้างอิงข้อมูลจากวิกิพีเดีย

เส้นทางการเดินชมหุบเขาเสือกระโจนมีสองเส้นทางเส้นทางแรกคือถนนคอนกรีตเลียบแม่น้ำ ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าที่ควร แต่จุดนี้จะเป็นจุดที่ทัวร์มักจะพานักท่องเที่ยวมา ส่วนอีกเส้นทางนึงชื่อว่า Upper Trekking Route เป็นทางเดินลัดเลาะไปตามสันเขาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ซึ่งเป็นทางที่นักเดินทางที่ชอบการ Trekking เดินทางมาที่นี่ เพราะเส้นทางนี้ !!

Upper Trekking Route
Upper Trekking Route เป็นทางความยาว 24 กิโลเมตร ที่คดเคี้ยวไปตามเขาแต่ละลูก (ประมาณ 3ลูก) จุดเริ่มต้นของเส้นทาง trekking คือเมืองเฉียวโถว (Qiaotou; 桥头) สิ้นสุดที่ Tina’s Guesthouse ใช้เวลาเดินประมาณ 1-3 วัน ตามแต่ความแข็งแรงของร่างกายและเวลาของแต่ละคน เส้นทางนี้มีเกสเฮ้าส์กระจายอยู่ประมาณ 4 แห่ง เส้นทางนี้หากเดินในวันที่อากาศดีถือว่าเดินไม่ยาก แต่หากในวันที่หมอกหนาจัดหรือฝนตกต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินสูงเนื่องจากทางด้านขวาของทางเดินเป็นหน้าผาลึกดิ่งลงไปถึงแม่น้ำด้านล่างแทบจะตลอดทางและทางเดินไม่มีรั้วกั้นแถมบางช่วงทางเดินยังแคบมากอีกด้วย
ส่วนที่เดินเหนื่อยที่สุดคือช่วงแรกๆ ซึ่งเป็นทางเดินขึ้นเขาล้วนๆ จาก 1,800 เมตร ไป 2,600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ถ้าเดินมาถึงเกสเฮ้าส์แรกแล้วทางที่จะเดินต่อไปไม่ยากมาก ถึงแม้จะต้องเริ่มเดินขึ้นเขาลูกใหม่เกือบทุกครั้งที่เราถึงเกสเฮ้าส์แต่ละแห่ง
เส้นทางนี้ไม่มีไกด์ ไม่มีลูกหาบ มีแค่ป้ายบอกทางและใจเราเอง
**ก่อนไปต้องเช็คเรื่องอากาศให้ดีควรหลีกเลี่ยงช่วงที่มีฝนตกชุก เพราะจะทำให้การ trekking อันตราย
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.tiger-leaping-gorge.com/htm/transportation.htm

ออกเดินทาง
ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียค่ะ เพราะราคาไปคุนหมิงสบายกระเป๋ามากกกกกกกกก เราเลือกบินไฟล์ทค่ำ เพราะสะดวกกับตัวเราที่สุด
เราบินจากกรุงเทพตอน 3 ทุ่มครึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงคุนหมิงค่ะ
ทริปนี้เราเดินทางกับเพื่อนแค่ 2 คน เพื่อนเรายังไม่เคยมาจีนมาก่อน และไม่เคย Trekking มาก่อนในชีวิตอีกด้วย สำคัญสุดไม่มีใครพูดจีนได้เลย !!!
ปีที่แล้วไปจีนท่องคำศัพท์ไป 3 คำ ปีนี้จำขึ้นใจอยู่คำเดียว !!! จะรอดมั้ยว้ะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย

เวลาประมาณตี 1 กว่าๆเรามาถึงคุนหมิงแล้วค่ะ เวลาที่จีนเร็วกว่าไทยแค่ 1 ชม. คืนนี้เราจะไม่ออกไปนอกสนามบินแล้วค่ะ เพราะตอนเช้าเราจะต่อเครื่องไปยังเมืองลี่เจียง
มาถึงเดินตามป้ายมาเรื่อยๆก็จะเจอกับ ตม. ในส่วนของตม.ไม่มีอะไรมากค่ะ เพราะทุกขั้นตอนมีภาษาไทย ใครไม่เก่งภาษาก็สบายใจได้ ของเรา ตม. ไม่ถามอะไรเช่นเคย (พาสปอร์ตเล่มใหม่นะ มีปั้มแค่เวียดนามประเทศเดียว)
จากนั้นก็เดินต่อมาเรื่อยๆเพื่อของรับกระเป๋าตามสายพานค่ะ สนามบินคุนหมิงค่อนข้างใหญ่และสะดวกสบายมากค่ะ ใครเดินทางมาจีนครั้งแรกคิดว่าไม่ยากแน่นอน

รับกระเป๋ามาเรียบร้อยแล้ว เราต้องขึ้นไปยังชั้น 3 สำหรับรอเช็คอินสำหรับเที่ยวบินที่จะไปลี่เจียงตอนเช้า ภายในสนามบินมีป้ายภาษาอังกฤษบอกชัดเจน เดินตามป้ายไปเรื่อยๆเลยค่ะ ไม่หลงแน่นอน


ขึ้นมาชั้น 3 สนามบินคุนหมิงในปีนี้ (2018) พัฒนาขึ้นจากปีที่แล้วเยอะมากเลยค่ะ ตอนนี้มีร้านอาหารหลายร้านที่เปิด 24 ชม. แล้ว ใครไม่อยากนอนที่เก้าอี้ในสนามบิน จะเดินมานั่งทานอะไรค่าเวลาก็ได้นะ และมี KFC ด้วยนะอาหารที่เราคุ้นเคย หรือใครที่ต้องต่อเครื่องนานๆ แต่ไม่อยากออกไปนอกสนามบิน ภายในสนามบินก็มีโรงแรมด้วยนะคะ อยู่บริเวณชั้น 2
ส่วนเรานั้นไม่อยากทานอะไรตอนนี้ ไม่อยากลงไปนอนที่โรงแรมด้วย เพราะตอนนี้เวลาประมาณ ตี 2 อีกแค่ 2 ชม. เราก็จะสามารถเช็คอินได้แล้ว ก็เดินหาที่นั่งในสนามบินละกัน แต่วันนี้มีคนเยอะเลยค่ะ ไม่มีเก้าอี้ว่างเลย สุดท้ายก็เลยนั่งมันกับพื้นนี่แหละ เย็นๆๆตูดหน่อย แต่ก็ได้ยืดขา



นั่งๆ นอนๆ รอไม่นานนาฬิกาก็บอกเวลาตี 2 เราเดินไปดูเคาเตอร์เช็คอินก็ยังไม่เปิด รอไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าเคาเตอร์เช็คอินก็เปิด
การเดินทางจากคุนหมิงไปลี่เจียงสามารถทำได้หลายทางตั้งแต่ รถทัวร์นอน (อันนี้เรายังไม่เคยใช้บริการ แต่รุ่นพี่ที่รู้จักบอกว่าดี) รถไฟนอน อันนี้สบายมากกกกกกกกกก และเครื่องบิน
ด้วยทริปนี้เรามีเวลาไม่เยอะเลยเลือกใช้การเดินทางด้วยเครื่องบินจะได้ประหยัดเวลา เราจองตั๋วเครื่องบินผ่าน Trip.com เราเลือกสายการบิน China Eastern ราคาไปกลับอยู่ที่ 3800 บาท/คน โหลดกระเป๋าฟรีเที่ยวละ 20 กิโล ใช้เวลาบินจากคุนหมิงไปลี่เจียงประมาณ 1 ชั่วโมง 10 นาที
ใครที่ภาษาจีนไม่ได้(แบบเรา) ไม่ต้องห่วงค่ะ แค่ไปเข้าแถวเช็คอินยื่นพาสปอร์ตแล้วรับตั๋วมา แค่นี่ก็แทบจะไม่ต้องคุยอะไรกับเจ้าหน้าที่เลยค่ะ แต่เจ้าหน้าที่ในสนามบินส่วนใหญ่จะเข้าใจภาษาอังกฤษนะคะ


ต่อเครื่องในประเทศจีนเราแนะนำให้เผื่อเวลาหน่อยนะคะ เพราะสนามบินจีนจะมีระบบความปลอดภัยที่ตรวจเข้มมากกกก แต่คนจีนก็มีจำนวนเยอะมากด้วยค่ะ อาจจะทำให้เราใช้เวลากับจุดนี้นานหน่อย

เข้ามาด้านในเกทภายในประเทศค่อนข้างใหญ่เลยค่ะ มีร้านอาหารเปิดหลายร้านเลยนะ สำหรับคนที่หิวหายห่วง หรือใครจะเอามาม่าคัพมาก็มีน้ำร้อนให้เรากดได้ด้วยนะคะ ชอบจีนตรงนี้ !!


เรานั่งรอที่เกทไม่นานก็มีประกาศเรียกขึ้นเครื่องค่ะ

ขึ้นมาบนเครื่องปุ้บ สลบปั้บบบบบบบบบ รู้ตัวเองอีกทีคือเครื่องแลนดิ้งสู่สนามบินลี่เจียงเรียบร้อยแล้ว

เรามาถึงสนามบินลี่เจียงตอนเวลาประมาณ 8.30 น. อากาศตอนเช้าเย็นเอาเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ


สนามบินลี่เจียงเป็นสนามบินเล็กๆค่ะ รอรับกระเป๋าแล้วจากนั้นให้มองหาป้ายที่เขียนว่า Airport Bus อยู่ตรงประเวณประตู 3


Airport Bus สนามบินลี่เจียงเข้าเมืองมีสายเดียวค่ะ ราคา 20 หยวน ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที


เมื่อปีที่แล้วเราเคยเดินทางมาเมืองลี่เจียงแล้วค่ะ แต่ครั้งนั้นเราไม่ประทับใจลี่เจียงเท่าที่ควร มาคราวนี้เราเลยขอเปิดใจให้ลี่เจียงอีกสักครั้ง เผื่อว่าลี่เจียงจะทำให้เราเปลี่ยนใจได้


นั่งรถมาประมาณ 40 นาที ก็มาถึงสถานี Airport Bus ตอนกลับเราก็จะต้องมาขึ้นรถที่นี่ค่ะ

เราเปิดแม็ปหาทางไปโรงแรม แม็ปบอกเราว่าถ้าเดินใช้เวลาประมาณ 20 นาที เราเลยขอเดินตามถนนไปเรื่อยๆละกันนะ เพราะยังไม่อยากใช้บริการแท็กซี่ตอนนี้ อีกอย่างจะได้สำรวจเมืองไปพร้อมกันค่ะ



“มึงงงงง ภูเขา!!!”
ขณะที่กำลังข้ามถนนอยู่นั้น เรารีบตะโกนบอกเพื่อนให้หันไปดูวิวที่กำลังอยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ทริปนี้เราน่าจะโชคดีล่ะคะ เพราะภูเขามังกรหยกออกมาต้อนรับตั้งแต่ก้าวแรกที่เราถึงลี่เจียง
“ไม่เหมือนอยู่จีนเลยว้ะ” เพื่อนเราบ่นพึมพำกับตัวเอง

มาลี่เจียงคราวนี้เราก็ยังเลือกพักโรงแรมเดิมค่ะ เพราะประทับใจเจ้าของโรงแรมและอีกอย่างคือ หาง่าย สะดวกสบายมากๆๆด้วย
Yue Tu House
วิธีมาที่พักเราใช้ app : Maps.me เดินตามมาเรื่อยๆไม่มีหลงค่ะ หรือถ้าใครมาครั้งแรกให้เดินทางมายังเมืองเก่าลี่เจียงฝั่ง North Gate จากนั้นให้ใช้ app แม็ปนะคะ จะช่วยให้เราหาที่พักได้ง่ายขึ้นเยอะเลย
เราจองที่พักมาในราคา 1100 บาท/คืน ห้องพักดีมากค่ะ
หลังจัดการสัมภาระแล้ว พี่เจ้าของโรงแรมเอาแผนที่ลี่เจียงมาแนะนำเรา เราเลยถามถึงการซื้อตั๋วไปเมืองเฉียวโถว เมืองต้นทางที่เราจะเริ่ม trekking ในวันพรุ่งนี้
“พวกคุณไปซื้อตั๋วรถบัสสำหรับพรุ่งนี้ที่สถานีรถบัสได้เลยนะครับ”
“แล้วเราจะไปสถานีรถบัสยังไงค่ะ”
“อ่าาา รอสักครู่ครับผมเขียนโน้ตให้”
พี่เจ้าของโรงแรมหายไปประมาณ 10 นาที แล้วกลับมาพร้อมกับโน้ตที่มีทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ 4 ประโยค ตั้งแต่บอกแท็กซี่ให้ไปส่ง // ซื้อตั๋วรถ // บอกแท็กซี่ให้มาส่งที่เมืองเก่า ครบ !!
นี่แหละค่ะ เหตุผลที่เราเลือกมาพักที่นี่

เราเรียกแท็กซี่ (ให้ใช้บริการแท็กซี่เขียว-ขาวนะ) พร้อมยื่นกระดาษโน้ตให้ แท็กซี่พยักหน้า งึกๆ
แท็กซี่เขียว-ขาว จะกดมิเตอร์ ราคาเริ่มที่ 8 หยวน ระยะทางจากโรงแรมมาที่สถานีบัสก็แค่ 8 หยวนเองค่ะ

มาถึงสถานีบัสของลี่เจียง เราเดินเข้าไปด้านในพื้นที่จะต่อแถวซื้อตั๋วรถที่ต้องการ ขณะที่กำลังยืนงงๆไม่รู้จะไปต่อแถวไหนดี ก็มีคุณลุงคนนึงเข้ามาถามรวดเป็นภาษาจีน เรารีบส่งกระดาษโน้ตให้ลุงทันที ลุงก้มอ่านแล้วรีบพาไปแซงคิวไปยังช่องซื้อตั๋วเลยค่ะ


“เฉียวโถว (Qiaotou)”
“ค่ะ หมิงเทียน 2 คนค่ะ” เย้ ๆๆ ได้ใช้ภาษาจีนที่ท่องมาละ หมิงเทียน แปลว่า พรุ่งนี้
“เอากี่โมง 8 โมง กับ 8 โมงครึ่ง”
” 8 โมงครึ่งค่ะ”
“โอเค 8 โมงครึ่ง 2 คนนะ เอาพาสปอร์ตมา”
คุณป้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ขายตั๋วพอจะพูดภาษาอังกฤษได้ เข้าใจสิ่งที่เราต้องการ
ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วสำหรับไปเมืองเฉียวโถวมา ราคาตั๋วคนละ 40 หยวน มีรถ 2 เที่ยว 8 โมงและ 8โมงครึ่ง


ขากลับไปยังเมืองเก่า เราอยากลองนั่งรถเมล์ดูบ้างค่ะ หากจะกลับไปยังเมืองเก่าให้ข้ามถนนมาขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้ามนะ ปัญหาตอนนี้คือเราไม่รู้ว่า รถเมล์สายไหนผ่านเมืองเก่าบ้าง แต่ไหนๆก็อยากนังรถเมล์ ก็ต้องเอาศัพท์จีนที่ท่องมาๆใช้ซะหน่อยค่ะ
“กูเฉิงๆๆ”
เราถามคนขับรถเป็นภาษาจีนคำเดียวซึ่งแปลว่าเมืองเก่า คนขับรถพนักหน้าและกวักมือให้ขึ้นมาบนรถ ค่าโดยสาร 1 หยวนตลอดสาย (สายผ่านเมืองเก่าและสถานีบัสคือ 8 และ 11 นะ)


ลงจากรถเมล์เราต้องเดินต่ออีกนิดเพื่อไปยังประตูทางเข้าเมืองเก่า แต่แล้วเราก็ได้เจอกับวิวถนนที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเราไม่ได้อยู่จีน เราชอบวิวเมืองที่มีภูเขาหิมะเป็นฉากหลัง ไม่ว่าที่แห่งนั้นอยู่ประเทศอะไรเราอยากจะไปเห็นด้วยตาด้วยเองเสมอ
เราเริ่มชอบ Lijiang ขึ้นมาบ้างแล้วสิ

เหตุที่ทำให้เราไม่ค่อยประทับใจเมืองเก่าลี่เจียง คงเป็นเพราะช่วงปีที่แล้ว เรามาลี่เจียงเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเยอะมากกกกกกกก เยอะจนเราไม่เห็นความสวยงามของลี่เจียงเหมือนที่ใครหลายๆคนได้เจอ และโชคร้ายของเราที่ปีที่แล้วเราไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของภูเขาหิมะมังกรหยก มันจึงเป็นเรื่องที่ค้างคาใจเรามากๆ จนทำให้การเดินทางครั้งนี้ เราตั้งใจที่จะมาเที่ยวลี่เจียงพร้อมเปิดใจให้ลี่เจียงอีกครั้ง

เข้าเมืองเก่าลี่เจียง ต้องจ่ายค่าเข้า 80 หยวน แต่วันที่เราไม่มีเจ้าหน้าที่มาเรียกเก็บค่ะ ก็เลยเดินตัวปลิ่วเข้าไปเลยค่ะ

เมืองเก่าลี่เจียง เมืองเก่ากว่า 800 ปี ที่มีสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากเมืองเก่าอื่นๆของจีน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งรกรากของชาวหน่าซี หรือนาซี มาตั้งแต่สมัยโบราณ ภายในเมืองเก่าลี่เจียงมีลำธารที่ไหลผ่านเกือบทุกหลัง และเมืองเก่าลี่เจียงแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นเป็นมรดกโลกด้วยนะคะ




วันนี้เป็นวันแรกของทริป เราเลยตกลงกับเพื่อนว่าเราจะเดินเที่ยวเล่นในเมืองเก่ากัน วันนี้ภายในเมืองเก่าลี่เจียงดูสงบมากกกกกกกกก นักท่องเที่ยวน้อยมาก เดินเล่นสบายมากค่ะ
วันนี้ทั้งวันเราใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเดินเล่นในเมืองเก่าลี่เจียง ใครมาแนะนำให้มาตั้งแต่ช่วงก่อนเที่ยง นักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ เดินสบายมากค่ะ
เราว่าเมืองเก่าลี่เจียงตอนสงบนี่มีเสน่ห์ไม่แพ้ญี่ปุ่นเลยนะ







ภายในเมืองเก่าลี่เจียงมีมุมให้เราได้ถ่ายรูปเยอะมากกกกกกกกกกกกกกก สวยทุกมุม





เดินเล่น ถ่ายรูปเล่น สนุกเพลินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


ภายในเมืองเก่าลี่เจียงมีของกินให้ลองเยอะแยะเลยค่ะ ใครมาจีนแล้วต้งลองหม่าล่าให้ได้นะคะ เผ็ดร้อนถึงใจจจจจจ


อีกอย่างที่เราชอบมากกกกกกกสำหรับเมืองลี่เจียงคือ การจิบกาแฟไปได้มองวิวหลังคาไป มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากเลยนะ



Day 2
6.30 น. !!!!!
“มึงตื่นนนนนนนนนนนน”
“หืมมมมมมมมมมมมม”
“ตื่นได้แล้ว 6 ครึ่งแล้ววววว กว่าจะเก็บเป๋าเสร็จเดี๋ยวเราก็ตกรถพอดี”
เราสะดุดตื่น แล้วจึงรีบสกิดเพื่อนข้างๆ เพราะวันนี้เราต้องไปขึ้นรถตอน 8 โมงครึ่งไปเมืองเฉียวโถว เพื่อที่จะได้เริ่ม trekking วันแรกกัน
เราใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวและเก็บกระเป๋าเสร็จก็ 7 โมงครึ่งพอดี
“เราไปสถานีบัสด้วยรถเมล์ละกันนะ”
“โอเค”
เราเดินมารอรถเมล์ที่ป้ายตรงข้ามกับโรงแรม รอแล้ว รออีกกกกกก รถสาย 8 ก็ไม่มาสักที เวลาก็ล่วงไปหลายนาทีแล้วนะเนี่ย
“‘สาย 8 ไม่มาเลยว่ะ งั้นกูว่าโบกสักคันนึงแล้วถามดีกว่าว่าไปสถานีบัสมั้ย”
“เออโอเค”
เราปรึกษากับเพื่อนว่าเราควรจะโบกรถเมล์คันอื่น แล้วถามเอาดีกว่า เพราะตอนนี้ไม่เห็นรถเมล์สาย 8 ผ่านมาสักที
“ไปสถานีบัสมั้ยค่ะ”
“อ้ออออออ คันที่ผ่านคือ สาย 11 นะหนู”
“ขอบคุณค้าาาา”

เรารีบขอบคุณคุณลุงขับรถเมล์คันนึงที่เราโบกถาม
รออีกไม่นานรถเมล์สาย 11 ก็มาพอดีค่ะ
“ผ่านสถานีบัสมั้ยค่ะ”
“ผ่านๆๆขึ้นมาเลย”
คนขับรถเมล์คันนี้เป็นอาเจ้ผู้หญิงหน้าตาใจดี และวันนี้ ตอนนี้ ทั้งรถมีผู้โดยสารแค่เรากับเพื่อนแค่ 2 คน เราเลยได้นั่งสังเกตลี่เจียงตอนเช้านี่สงบมากเลยนะคะ เป็นเมืองที่น่ามาอีกเมืองนึงเลยนะ
และอีกอย่างที่เราสังเกตได้คือรถเมล์ทุกคันจะหยุดให้คนที่รอข้ามถนนข้าม แม้บุคคลนั้นไม่ได้ยืนที่ทางม้าลายก็ตาม
เรานั่งมาเรื่อยๆก็สัเกตข้างทางมาเรื่อยๆ เพราะกลัวจะเลยป้าย
“หนูๆๆ ป้ายหน้านะ”
“ขอบคุณค้าาาาา”
เราว่าไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นหรอกค่ะที่น่ารัก คนจีนก็น่ารักนะ

เรามาถึงสถานีบัสตอน 8 โมง แสดงว่าเราจะมีเวลานั่งเล่นอีกเยอะเลย
นั่งเล่นรอไปเรื่อยๆๆ ก็เริ่มสังเกตว่ารอบข้างเรามีแต่คนจีน ไม่เห็นจะมีต่างชาติเลย แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับฝรั่งสองคน แต่ 2 คนนั้นกำลังเดินไปขึ้นรถ เริ่มมีเสียวๆแล้วล่ะคะ ขึ้นรถจีนแบบคนไม่รู้ภาษาจีนจะรอดมั้ยว้ะเนี่ยยยย

เรานั่งรอไปเรื่อยๆ จนเวลาล่วงมาที่ 8 โมง 20 นาที เราเลยลุกเอาตั๋วไปถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่คนจีนก็รัวภาษาจีนใส่เรา
“หนูไม่รู้ภาษจีนนนนนนนนนนนนนน”
เจ้าหน้าที่เริ่มสังเกตได้ว่าเราคงไม่เข้าใจภาษา จึงเปลี่ยนจากการรัวภาษาจีนใส่ มาเป็นทำไม้ทำมือบอกว่าให้เรามายืนรอรถด้านนอกอาคาร รอไม่นานรถคันที่จะพาเราไปเมืองเฉียวโถวก็มาจอดเทียบค่ะ เจ้าหน้าที่คนเดิมเดินมาตามเรา
รถที่เราจะใช้เดินทางไปยังเมืองเฉียวโถวเป็นมินิบัส ที่ระบุที่นั่งของเราไว้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วแล้ว

8.30 น. รถออกตรงเวลาเป๊ะ
ตอนนี้ผู้โดยสารทั้งคันมีแค่เรากับเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ ที่เหลือคือคนจีน เราได้แต่ภาวนาว่าขอให้เราไปถึงปลายทางที่ตัวเองตั้งใจจะไปนะ ก่อนที่ตัวเองจะหลับเพราะความง่วงที่ต้องตื่นแต่เช้า เราเปิด app : Maps.me ดูทางที่รถกำลังเดินทางไปว่าตรงกับปลายที่เราอยากจะไปหรือไม่
“มึง กูเช็คแม็ปแล้ว รถไปตรงกับในแม็ปนะ แสดงว่าเราน่าจะถึงจุดหมายที่เราอยากจะไปโดยไม่ยาก”
เราหันไปบอกเพื่อนข้างๆที่พร้อมจะหลับได้ตลอดเวลา

เราหลับไปนอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถกำลังจะเข้าจอดจุดพักรถแล้วค่ะ
“กูเช็คแม็ปแล้ว ประมาณ 30 นาทีเราน่าจะใกล้ถึงจุดที่เป็นต้นทางเริ่ม trekking แล้วละ แต่ทั้งรถมีแต่คนจีนแบบนี้ เราคงไม่ได้ลงจุดนั้นแน่นอนว้ะ”
เราบอกเพื่อนพร้อมกับเดาสถานการณ์ตามประสบการณ์การเดินทางต่างถิ่นของตัวเอง


เราแวะพักประมาณ 15 นาที ก็ออกเดินทางต่อ เส้นทางยังตรงตามแม็ปที่เราเปิดเอาไว้ แต่เราก็ยังไม่มั่นใจว่ารถจะจอดสุดปลายทางที่ไหนกันแน่
“แล้วเราจะเอาไงว้ะมึง”
เพื่อนเราถามกลับด้วยน้ำเสียงที่มีความกังวล
เรามองหน้าเพื่อน แต่ไม่มีคำตอบใดๆให้ เพราะตอนนี้ตัวเราก็ไม่แน่ใจว่าจะทำไงดี
ขณะที่เรายังวิตกอยู่ว่าจะทำยังไงดี คนขับรถก็จอดตรงที่บริเวณให้บริการนักท่องเที่ยว สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวโตรกเสือกระโจน

ในขณะที่เรากำลังจะเอารูปที่เซฟมาจากเน็ต เพื่อไปบอกคนขับรถว่าเราจะลงรถที่จุดนี้นะ ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงขึ้นมาบนรถเพื่อเก็บเงินสำหรับค่าผ่านอุทยาน ราคาคนละ 45 หยวน ทุกคนต้องจ่ายไม่ว่าคุณจะแวะเที่ยวหรือไม่
เราเลยได้โอกาสเอารูปที่เซฟมาให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนนั้นดู เธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แถมไม่ชายตามามองโทรศัพท์เราด้วยซ้ำ

“อาเฮีย หนูจะไปลงที่นี่ค่ะ” เรารีบตรงไปหาคนขับรถ แล้วยื่นโทรศัพท์ที่เปิดรูปที่เซฟไว้ให้ดู
“เราไม่ได้จะไปที่นี่ เราผ่านที่นี่มาแล้วนะ”
เฮ้ยยยยยยยยย คนขับรถพูดภาษาอังกฤษได้ นี่คือความโชคดี แต่โชคร้ายคือเราเลยจุดที่เราจะลงมาแล้ว
“แต่หนูจะต้องไปที่นี่นะคะ”
“พวกหนูเดินไปได้นะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง”
“อาเฮีย พอจะมีเพื่อนที่ไปส่งพวกเราได้มั้ยค่ะ”
“มี พวกหนูกี่คนละ??”
” 2 คนค่ะ คิดราคาเท่าไหร่คะ”
“35 หยวน”
“โอเคค่ะ”
ตอนนี้เราไม่รู้แล้วค่ะว่า เราควรต่อราคามั้ย เรารู้แค่ว่าเราควรไปถึงจุดหมายของเราสักที อาเฮียคนขับรถบอกว่าให้ยืนรอเพื่อนเขาประมาณ 10 นาทีนะ ในขณะที่เรารอรถอยู่นั้น ก็มีผู้ชายชาวจีนเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินลงมาจากรถคันที่ผ่านเรามาจากลี่เจียง 2 คน
เราฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ แต่เราใช้ภาษากายและเหตุการณ์แปลได้ว่า ผู้ชายชาวจีน 2 คนนี้จะไปทางเดียวกับเราแต่คนที่มาจากลี่เจียงดันไม่ผ่านทางนั้น ผู้ชายชาวจีน 2 คนนี้เลยจะติดรถที่คนขับดิลให้ใหม่ไปพร้อมกับเรา
เรายืนรอรถอยู่ประมาณ 10 นาที คนขับรถบัสก็มาเรียกเราบอกว่าเราที่จะพาไปส่งจุดที่เราอยากไปมาแล้ว ตอนนี้รถคันใหม่ มีชายชาวจีนทั้งหมดรวมคนขับ 3 คน และเรานั่งรถต่อมาไม่ถึง 10 นาที คนขับก็จอดรถค่ะ พร้อมกับบอกเราว่าถึงแล้วนะ

เราถามราคาค่ารถกับคนขับรถ ชายชาวจีนวัยกลางคนหันมาบอกเราว่า คนละ 10 หยวน เราพยักหน้ารับรู้ แต่ระหว่างที่เรากำลังจะหยิบเงินจ่าย ก็มีเสียงชายชาวจีนที่เป็นผู้โดยสารต่อว่าคนขับรถว่า ทำไมคิดแพงจัง 2 คนนี้นั่งรถมาแค่ไม่ถึง 10 นาที
เราฟังคนจีนเถียงกันอยู่พักใหญ่ คนขับรถก็สรุปราคาใหม่ว่า งั้นคิดราคาแค่ 2 คน 15 หยวน เราจ่ายเงินพร้อมทั้งหันไปขอบคุณอาเฮียชาวจีนคนที่ช่วยเราต่อรองราคา
ไหนนนนนนนนนนนน ใครบอกคนจีนไม่น่ารักกกกกกกกกกกกกก
เราเจอคนจีนน่ารักกกกกกกกกกกกกกกนะ

ลงมาจากรถแล้ว เราก็ยังคง งง ว่าไหนนนนนนนนนนนน ไหนนนนนนนนนนนนนจุดที่จะเริ่ม trekking ว้ะ
คนขับรถชาวจีนยังไม่ออกรถไป คงเห็นว่าเรายัง งง อยู่ เลยลงมาแล้วชี้ให้เราดูว่าจุดที่เราจะต้องเริ่มเดินมันอยู่ด้านหลังรถไง พร้อมกับให้แผนที่เส้นทางเทรคมาด้วย

ในที่สุดดดดดดดด เราก้ถึงจุดเริ่มต้นเทรคสักที !!!
“แท็กเก็ต ๆๆๆ”
ขณะที่เรากำลังเดินตรงไปยังทางที่เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่า ก็มีคุณลุงที่แต่งตัวคล้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เข้ามาขวางทางเรา
“แท็กเก็ตๆๆๆๆ”
“หืมมมมมมมมมม อะไรนะ”
“แท็กเก็ตๆๆๆๆ”
“อ๋อออออออออออออ ทิกเก็ต !”
เรารีบเอาตั๋วอุทยานโตรกเสือกระโจนให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดู เจ้าหน้าที่รับไปพิจารณาอยู่สักพักก็ให้เราผ่านไป พร้อมกับชี้นิ้วบอกทางเราว่าให้เดินไปทางไหน
จุดเริ่มเทรคโตรกเสือกระโจนให้เรามองหาป้ายสีฟ้าๆที่บอกชื่อเส้นทางเทรคนะคะ




เส้นทางนี้เริ่มแรกด้วยถนนคอนกรีตที่เป็นถนนที่ชาวบ้านในหมู่บ้านแถบนั้นใช้สัญจร แต่ช่วงที่เราไปจะมีรถของทางการจีนที่ทำถนนสวนทางมาเป็นระยะๆ ทำให้ถนนทั้งเส้นตลบอบอวลไปด้วยฝุ่น

วันนี้เป็นวันที่แดดแรงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกค่ะ แต่อากาศเย็นนะ
เราเดินมาเรื่อยๆได้ไม่นานก็มาถึงทางที่มีทางแยก เอาแล้วค่ะ ไม่รู้จะไปทางไหนดี โชคดีมีคุณลุงชาวจีน ลุงเลยชี้นิ้วบอกทางเราค่ะ
ตอนนี้ถึงแม้เราจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ภาษากายก็สามารถเอาตัวรอดได้นะคะ

ตอนนี้เวลา 11 โมงตรง แม่จ้าววววววววววววววววว
กว่าเราจะได้เริ่ม trekking ก็กินเวลาไปแล้วครึ่งวัน แล้ววันนี้เราจะถึงครึ่งทางมั้ยว้ะเนี่ยยยยย
ตามเส้นทางเทรคโตรกเสือกระโจนที่เราอ่านรีวิวมา นักเดินทางส่วนใหญ่ใช้เวลา 2 วัน 1 คืน และส่วนใหญ่ก็จะไปพักค้างคืนกันที่ Half Way Guesthouse เพราะที่นั้นถือเป็นครึ่งทางของการเทรคและที่สำคัญที่พักแห่งนั้นวิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกก
เราก็หวังว่าตัวเองจะสามารถไปถึง Half Way Guesthouse เช่นกันค่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปถึงหรือไม่

เราเดินตามถนนคอนกรีตมาเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านเรื่อยๆ ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงเราถึงพึ่งจะเริ่มเห็นเขาที่คิดว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าตัวเองคงต้องไปเดินอยู่บนนั้น


“มึงเส้นนี้เดินตามถนนคอนกรีตหรอว้ะ”
เพื่อนเราตะโกนถามเราที่เดินนำอยู่
“ไม่ใช่โว้ยยยยยยยย เราต้องเดินบนเขา ตอนนี้ตรงนี้มันแค่ต้นทาง”
ขณะที่เรากับเพื่อนกำลังคุยกันเรื่องเส้นอยู่นั้น ก็มีผู้หญิงวัยรุ่นจีนคนนึง เห็นพวกเราที่กำลังมา trekking แล้วชี้ไปที่ภูเขาลูกที่อยู่ด้านหน้าแล้วหัวเราะ เราพยามถามว่าหัวเราะอะไร แต่เธอก็ไม่ยอมตอบ พร้อมกับรัวภาษจีนและหัวเราะมาอีกชุดใหญ่

เราเดินต่อมาเรื่อยๆอีกหน่อย ก็จะเจอกับแคมป์คนงานที่ตั้งอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นแคมป์ของคนงานทำถนน มีคนงานหนึ่งคนที่เห็นพวกเราพร้อมกับชี้ทางขึ้นเขาให้เรา พร้อมกับบอกเราว่าต้องเดินทางนี้นะ
“มึงงงงงงงงง เราต้องเดินขึ้นเขานั้นจริงดิ”
“เออออออออออ”
เราตอบเพื่อนพร้อมกับบอกตัวเองเช่นกัน
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ขอต้อนรับทุกคนสู่การ Trekking โตรกเสือกระโจนค่ะ

trekking เส้นนี้ให้เรามองหาป้ายชื่อฟ้าเอาไว้นะคะ มันจะบอกทางเราอยู่เรื่อยๆ

ทางเริ่มต้นเป็นทางดินเล็กๆขนาดคนเดิน



เส้นทางช่วงแรกไม่ง่ายเลยค่ะ เพราะวันนี้เป็นวันที่แดดร้อนมากกกกกกกกก ช่วงแรกไม่มีที่หลบร้อนเลย แถมเป็นช่วงที่เราต้องเดินขึ้นเขาที่ค่อนข้างชันทีเดียว และสิ่งเดียวที่ดูจะทำให้เรามีกำลังใจก็คงเป็นภูเขาหิมะที่สลับซับซ้อนอยู่ด้านหน้า

เส้นทางนี้ไม่มีไกด์ เราต้องเดินด้วยตัวเอง นานๆจะมีชาวบ้านผ่านมาสักคน ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้เราไม่หลงทางก็คือ ป้ายสีฟ้าที่บอกชื่อเส้นทาง Trekking และ ศรสีแดงที่ถูกพ่นไว้ตามหินที่อยู่ไหล่ทางที่เรากำลังเดิน สองอย่างนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่หลงทาง


ตอนนี้เวลาล่วงมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว พวกเรายังไม่ถึงไหนสักเท่าไหร่ เพราะแดดที่ร้อนมากกกกกก กับทางที่ชันขึ้นเรื่อยๆทำให้ขาของเราและเพื่อนแทบจะก้าวไม่ออกเลย

และถึงแม้เส้นทางนี้จะไม่มีไกด์และนานๆทีจะมีเพื่อนร่วมทางบ้าง แต่สิ่งที่เรามักเจอก็คือเจ้าสัตว์ต่างๆที่ถูกเลี้ยงไว้ตามป่าแถวนี้

“ไหวมั้ยมึงงงงงงง”
เราตะโกนกลับไปถามเพื่อนที่ตอนนี้กำลังเดินอยู่ด้านหลังเรา
“ตอนนี้ก็ไหวอยู่”
“เอออ ถ้าเหนื่อยก็พักและกินน้ำนะ”
เพื่อนเราไม่ตะโกนตอบกลับมา เพราะตอนนี้ดูท่าการพูดคุยกันเองจะเพิ่มความเหนื่อยให้กับเราทั้งคู่

“มึงงงงง ข้างหน้ามีกระท่อมมมมม”
“จริงดิ”
“เออออออออออ”
“ที่พักหรอมึง”
“ยังงง ที่พักอีกนาน น่าจะร้านขายของว้ะ”

ในที่สุดเราก็ได้พัก ได้กินอย่างอื่นนอกจากน้ำเปล่าที่แบกมา เพราะมีลุงชาวจีนเปิดร้านขายของริมทางสำหรับนักเดินทางแบบเรา มันดีมากกกกกกกกกก
อยากจะบอกว่า แอปเปิ้ลลุงหวาน กรอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
และอย่างน้อยก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวบนเส้นทางนี้เกินไป


เราพักนั่งเล่นกันอยู่พักใหญ่ ก็ถึงเวลาบอกลาลุงชาวจีนและออกเดินทางต่อ
ตอนนี้ทางเริ่มดีขึ้นจากช่วงเริ่มต้นขึ้นมาหน่อย เพราะระหว่างทางมีร่มไม้ให้พวกเราได้พอหลบร้อน และที่สำคัญที่สุดเรามองเห็นภูเขาหิมะชัดขึ้นมากด้วย

เราเดินต่อมาเรื่อยๆ ตอนนี้เรากับเพื่อนไม่มีบทสนทนาใดๆกันต่อไปอีกแล้ว เพราะต่างคนต่างต้องใช้ปากในการช่วยจมูกหายใจทั้งคู่
หอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ !!
แต่ตอนนี้ในหัวของเรามีแค่หนึ่งคำถามที่วนเวียนไปมา
“กูมาทำอะไรที่นี่ว้ะ !!!!”

จะถอยหลังก็ไม่ได้ มันดูกลายเป็นคนยอมแพ้ง่ายเกินไป ถึงแม้ในใจอยากจะเดินลงจากเขาใจจะขาดดดดดด ตอนนี้นอกจากคำถามที่เกิดขึ้นในหัว ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า อดทนๆๆๆ ทำให้ได้ นะ ลิเดีย

ตอนนี้กำลังใจในการก้าวเท้ามีอยู่แค่ 3 อย่าง คือ ตัวเอง เพื่อนร่วมทาง และวิวภูเขาที่อยู่รอบตัวเราบนเส้นทางนี้ เราเดินทางมา Trekking เพราะอยากพาตัวเองข้ามขีดจำกัดของตัวเองและอยากมองเห็นวิวสวยๆแบบนี้ แล้วจะยอมแพ้ได้ยังไงว้ะ

” go go go เราต้องทำได้”
เราตะโกนไปยังเพื่อนเราที่กำลังเดินอยู่ด้านหลัง และรู้ว่าเพื่อนก็ต้องการกำลังใจเช่นเดียวกัน
อยากจะบอกภูเขาหิมะที่อยู่ด้านหน้าเรา เป็นกำลังใจที่ดีมากๆๆสำหรับคนที่มา Trekking ทุกคนรวมทั้งเรา มันบอกวิวที่มองยังไงก็ไม่เบื่อเลย มองยังไงก็มีกำลังใจ


เราเดินมาเรื่อยๆๆ ก็ได้ยินเสียงคนเดิน แล้วสักพักก็เห็นลุงฝรั่งเดินออกมาจากป่าที่เราผ่านมา
“สวัสดีค่ะ ลุงมาเดินคนเดียวหรอค่ะ”
“ลุงมา 2 คนแต่อีกคนเดินช้า ลุงเลยล่วงหน้ามาก่อน”
“ลุงมาจากไหนค่ะ”
“ออสเตรเลีย พวกหนูละ”
“ประเทศไทยค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะลุง”
บทสนทนาของนักเดินทางต่างเชื้อชาติบนเส้นทางเดียวกัน ทำให้เราอบอุ่นและหายเหนื่อยขึ้นมาเยอะ เพราะอย่างน้อยบนเส้นทางนี้ก็ไม่ได้มีแค่เรากับเพื่อน
เออออออออออออออออออ ปลอดภัยว่าไม่หลงทางนั่นแหละ 55555555555

“มึงงงง ด้านหน้าเป็นหมู่บ้านว้ะ น่าจะเป็นเกสเฮ้าส์แรกนะ”
“เอออออออ ถึงสักทีเถอะ กูเหนื่อยยยยยยย”
เราหันไปมองหน้าเพื่อน ทั้งสงสารและขำ เพื่อนเราอยากลอง Trekking ครั้งแรกค่ะ แล้วก็โดนเราหลอกมาเดินป่าไกลถึงจีน


“อีก 700 เมตรรรรรรร สู้ !!!”
เราบอกเพื่อนและตัวเองพร้อมกัน

ในที่สุดดดดดดดดดดดด เราก็มาถึงเกสเฮ้าส์แรก NaXi Gust House สักที !!!


NaXi Guesthouse
ตอนนี้เวลา 16.00 น. ในที่สุดเราก็ถึงเกสเฮ้าส์แรกของเส้นทางนี้สักที จะได้พักกินข้าวมื้อแรกของวัน จะได้นั่งให้หายเหนื่อย
ไม่ต้องพูดเยอะถึงเกสเฮ้าส์ปุ๊บเรารีบสั่งข้าวไข่เจียวทันที ตอนนี้ขอสั่งอะไรก็ได้ที่แม่ครัวทำเร็วที่สุด หิววววววววววววววววววววว

ระหว่างที่เรากำลังกินข้าว ลุงฝรั่งชาวออสเตรเลีย ซึ่งเดินตามเราลงมาติดๆก็แวะมาถามเราว่า คืนนี้เราจะพักที่นี้มั้ย เราบอกลุงว่าเรายังไม่แน่ใจเลย เพราะในใจอยากเดินให้ได้เยอะกว่านี้ แต่อีกใจก็กลัวจะค่ำก่อนที่เราจะไปถึงเกสเฮ้าส์ที่สอง
“ลุงพักที่นี่ใช่มั้ยค่ะ”
“ช่ายยยจ้ะ”
“พวกหนูตกลงจะพักที่นี่ด้วยค่ะ”
“เป็นไอเดียที่ดีมากกก พักเถอะพรุ่งนี้ค่อยไปต่อ”
เรายิ้มให้คุณลุงแทนคำพูดอื่นๆในใจ
ในใจเราไม่ได้อยากพักที่เกสเฮ้าส์แรกเลยค่ะ เราอยากไปต่อ แต่ก็ลังเลเพราะกลัวไปแล้วถ้าฟ้ามืดก่อนที่เราจะถึงที่พักที่ 2 มันคงไม่สนุกแน่ เพราะทางที่แคบและชันมันเดินยากมากแน่ๆถ้าฟ้ามืด

เท่าที่เคยอ่านรีวิวของคนไทยที่เคย Trekking เส้นทางนี้ เราไม่เคยอ่านเจอว่าใครจะนอนที่เกสเฮ้าส์แห่งนี้เลย เพราะมันคือเป็นเกสเฮ้าส์แรกที่ใกล้เกินกว่าที่นักเดินทางหลายๆคนจะแวะค้างแรม
แต่สำหรับเราที่นี่ไม่ใกล้เอาซะเลย เราใช้เวลาตั้ง 5 ชม. เพื่อเดินข้ามเขามา 1 ลูกเพื่อมาถึงเกสเฮ้าส์แรก ตอนนั้นเราพยามปัดความกังวลในการเดินช้าของตัวเองออกไป
แล้วพยามบอกตัวเองว่า “เรามาเดินป่าเพราะอยากพาตัวเองออกจากกรอบและขีดจำกัดของตัวเอง เราไม่ได้มาแข่งกับสถิติของใคร เราทำได้ดีแค่นี้ มันก็คือแค่นี้ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร จนทำให้ตัวเองเครียดเลย”
เราได้แต่ปลอบตัวเองและให้กำลังขาตัวเองที่พาเราเดินมาได้ไกลขนาดนี้

NaXi Gust House
เกสเฮ้าส์แรกของเส้นทางนี้ ราคา 120 หยวน/คืน ภายในห้องมีให้ครบทุกอย่าง ตั้งแต่ยาสระผม แปรงฟัน ผ้าเช็ดตัว และที่อุ่นเตียงงงงงงงงงงงง อีกอย่างคือสตาฟพูดภาษาอังกฤษได้




อีกอย่างที่เราชอบคือ NaXi Guesthouse มีระเบียงสำหรับนั่งเล่นที่เห็นวิวภูเขาหิมะชัดมากกกกกกกกกก วิวสวยมาก ใครไม่ได้พักทีนี่ก็แวะมาทานอะไรได้นะ


มันไม่ได้หมดแค่นั้น NaXi Guesthouse วิวหน้าห้องนอนดีมากกกกกกกกกกกก มันสวยมากกกกกกก สวยจนเรารู้สึกว่านักเดินทางไม่ควรมองข้ามเกสเฮ้าส์แห่งนี้ไปเลย


การได้มองภูเขามันทำให้เรายิ่งอยากออกเดินทาง ยิ่งทำให้เราอยากทำตามความฝัน เราว่าเราเริ่มรู้แล้วล่ะคะ ว่าเรามาทำอะไรที่นี่






คืนนี้มื้อก่อนนอน เราสั่งข้าวผัดไก่ + ไข่เจียว มาทาน ก่อนจะไปนอนเราถามคุณป้าสตาฟของที่พักว่า เราควร ออกจากที่พักกี่โมงดี เพราะเราอยากออกเช้าๆ คุณป้าบอกว่าให้ออกเดินทางตอน 7 โมงเช้า รอให้ฟ้าสว่างก่อนค่อยไป ถ้าไม่อย่างนั้นเราอาจจะหลงทางได้ เพราะมันมืดมาก ทางแคบและชันด้วย

ฝันดีนะภูเขา

Day 3
ตื่นนนนนนนนนนนน !!!!!
เราสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกของตัวเอง
“มึงงง ตื่นนนน จะสว่างแล้ว” เรารีบปลุกเพื่อน
ตอนนี้ถึงแม้ว่าไม่อยากตื่นเลย อยากซุกตัวเองอยู่ในผ้านวมและเตียงอุ่นๆก็ตาม แต่เราต้องตัดใจลุกขึ้นมาจัดการตัวเองและสัมภาระพร้อมออกเดินทางกันต่อ
วันนี้เราต้องเดินกันนานขึ้นกว่าเดิม เพราะใจเราอยากไปถึงปลายทางสุดท้ายที่ Tina’s Guesthouse เพื่อจะได้นั่งรถกลับลี่เจียง แต่จากการคำนวนระยะทางและความเร็วของพวกเราแล้ว ยังไงก็ไม่ทัน !!
แพลนวันนี้ของเราก็เลยต้องเป็นแพลนระยะสั้น เริ่มด้วยครึ่งวันแรกเราต้องไปถึง Tea House เกสเฮ้าส์ที่ 2 ของเส้นทางนี้ให้ได้ แล้วค่อยมาดูระยะเวลาที่เรามีอีกที


ทางเริ่มต้นจาก NaXi Guesthouse เป็นช่วงทางขนาดหนึ่งคนเดินเหมือนแต่เป็นทางคอนกรีตที่ชาวบ้านทำไว้สำหรับเอื้ออำอวยความสะดวก ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงหนึ่งแต่ก็ช่วยให้เราทำเวลาขึ้นได้เยอะเลยค่ะ



เช้านี้เราต้องเริ่มเดินข้ามเขาอีกหนึ่งลูกเพื่อไปเจอเกสเฮ้าส์ที่ 2
“มึง แผนที่ในแม็ปบอกกูว่า เรากำลังจะเข้าใกล้ 28 โค้งแล้วนะ”
เพื่อนเราพยักหน้ารับรู้ถึงทางล่วงหน้าที่เรากำลังจะเดิน
เส้นทางหลังจากที่เราผ่าน NaXi Guesthouse มาแล้วก่อนที่เราจะได้เจอเกสเฮ้าส์ที 2 ที่มีชือว่า Tea House สิ่งที่เราจะต้องเจอคือ 28 โค้ง !!! อยู่บนเขาทั้งสูงทั้งชั้นทั้งเหนื่อย ยังต้องมาเจอ 28 โค้งอีกกกก

เส้นทางของ 28 โค้ง ไม่ได้แย่เท่าที่กลัวเอาไว้ เพราะ 28 โค้งเป็นแค่โค้งเล็กๆๆแต่มันจะเป็นโค้งหักศอก !! และทางส่วนใหญ่เป็นหิน แต่สิ่งที่ดีขึ้นมาคือทางช่วงนี้เป็นป่าสน ไม่ร้อนถือว่าเดินสบายเลยค่ะ




เมื่อวานหลังจากที่เราตกลงที่จะพัก NaXi Guesthouse นั้นเราก็ได้เพื่อนร่วมเกสเฮ้าส์เพิ่มอีก 2 คน เป็นคู่พ่อลูกชาวเยอรมัน แต่สิ่งที่ทำให้เราเซอร์ไพร์คือ คนเป็นพ่อคือชาวหนุ่มเยอรมันที่อายุไม่น่าจะห่างจากเรามากนัก แต่ส่วนลูกชายนั้น คือหนูน้อยวัย 6 ขวบบบ !!
วันนี้เราเลยมีเพื่อนร่วมทางเป็น 2 พ่อลูกชาวเยอรมันเป็นระยะๆ เราชอบหนูน้อยคนนี้มากกกกก น้องไม่งอแงเลย แข็งแรงมากกกกกกกกด้วย เดินเร็วกว่าเราอีก แต่ที่สุดต้องชื่นชมคุณพ่อที่สอนลูกเก่งมากกกกก

เราชอบทางเทรคเส้นนี้นะคะ ยิ่งเดินไปทางก็ยิ่งเปลี่ยนไปจากป่าต้นกลายมาเป็นป่าไผ่ เทือกเขาก็จะค่อยๆเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆมองยังไงก็ไม่มีเบื่อ


เรากับเพื่อนใช้วิธีพักเหนื่อยด้วยการนั่งมองเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ที่โอบล้อมเราไปทุกทางในตอนนี้ ตอนนี้เราเริ่มตอบตัวเองได้แล้วค่ะว่า “เราดั้นด้นมาลำบากที่นี่เพื่ออะไร”


อุปสรรควันนี้เราไม่ได้เกิดจากอากาศที่ร้อน หรือทางที่ชัน แต่มันมาจากความหิววววววววววว เราสองคนรีบออกเดินทางเลยอาศัยกินมาม่าเป็นมื้อเช้า มาม่าคัพมันเลยย่อยหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่ไม่ต้นทางเลย
“มึงงงงงงงงงง เจอหมู่บ้านแล้วด้านหน้าคือเกสเฮ้าส์ที่ 2”
“เออออออออ ถึงสักทีเหอะหิวข้าวววววววววววว”


“เรากินข้าวไรดีว้ะ”
“ข้าวไข่เจียว แม่ครัวทำเร็วสุด เราจะได้ไม่เป็นลมตาย”
ทุกเกสเฮ้าส์บนเส้นทางเทรคเส้นนี้ ถึงแม้เราจะไม่ได้เข้าพักแต่เราก็สามารถที่จะเข้าไปซื้อน้ำ และสั่งข้าวกินได้ทุกที่เลยนะ

Tea House Trade Guesthouse
เกสเฮ้าส์ราคาห้องคืนละ 200 หยวน มีจุดเด่นที่มีวิวระเบียงสำหรับพักผ่อนสุดอลังการรรรรรรร แต่คืนนี้เราไม่ได้พักที่นี่ค่ะ และที่สำคัญที่นี่มีห้องส้วมที่สะอาดมากกกกกกกกถึงจะเป็นส้วมรางแบบจีน

เรากินข้าวเสร็จขอขึ้นมาพักขา พักใจที่ระเบียงสุดอลังการหน่อยเถอะนะ
หากใครมาเทรคเส้นทางนี้แล้วรีบก้มหน้าก้มตาเดินเพื่อให้ไปถึงปลายทางเร็วที่สุด เราว่าแบบนั้นคือพลาดมากกกกกก เพราะเส้นทางนี้มันต้องเดินไป เสพบรรยากาศไป แวะพักจิบ redbull ไป มองภูเขาไป
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย นี่แหละเส้นทางในฝันนนนนนนน



ตอนนี้เราเดินมาเกือบถึงครึ่งทางของเส้นทางนี้แล้ว จากเดิมที่เราคิดว่าตัวเองจะใช้เวลาเทรคแค่ 2 วัน 1 คืน แต่สุดท้ายแพลนต้องเปลี่ยนเพราะวันนี้เราคงไม่มีทางไปถึงปลายทางให้ทันเวลา (ก่อนบ่าย3ครึ่ง) แล้วละ เราต้องนอนบนเขาเพิ่มขึ้นอีกคืน
เราใช้เวลาไปกับการละเมียดละไมบนเส้นทางนี้ไปค่อนข้างนาน และด้วยความไม่ฟิตของร่างกาย เราใช้เวลาในการข้ามเขา 1 ลูก นานถึง 5 ชม. ในวันแรก และในวันนี้กว่าเราจะมาถึงเกสเฮ้าส์ที่ 2 เราก็ยังใช้เวลา 5 ชม. เท่าเดิม สปีดเราไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย แต่เราก็พอใจกับตัวเองนะ ไม่รีบจนรน ได้ชมวิวภูเขาตามที่ตั้งใจจะมา
ไม่ต้องแข่งกับใครรรรร เอาความสุขในการเดินเป็นหลักก็พอ !!!

“มึงเส้นทางกว่าจะไปถึงเกสเฮ้าส์ที่ 3 นานแค่ไหนว่ะ”
“ในแม็ปบอกว่าใช้เวลาประมาณ 2 ชม.นะ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ขึ้นเขาไม่เยอะ คิดว่าไม่ยาก”
“โอเคคคค”
“ไหวนะ Go go ๆๆๆ”
หลังจากที่เราบอกรายละเอียดจุดหมายปลายทางหน้าให้เพื่อนรับรู้เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ต้องออกเดินทางกันต่อ เส้นทางจากเกสเฮ้าส์ที่ 2 ไปเกสเฮ้าส์ที่ 3 เป็นเส้นทางที่ไม่ชัน เดินง่ายกว่าที่ผ่านๆมาแน่นอน

เส้นทางที่เลยมาจากหมู่บ้านทางจะเริ่มเป็นหน้าผาริมเขา แต่ระหว่างทางที่เราจะสามารถเจอกันก็คือ ฝูงแพะที่ถูกเลี้ยงไว้ตามภูเขา



เราชอบเส้นทางนี้ตรงที่ได้แวะถ่ายรูปกับภูเขาเยอะเรื่อยๆตลอดทางนี้แหละ
ความสุข !!

เส้นทางช่วงนี้เดินไม่ยาก แต่ก็ไม่มีเพื่อนร่วมทางเหมือนเดิม
“อีกไม่ไกลแล้วจะถึง Half Way นะ เป็นเกสเฮ้าส์ที่ 3 ของเส้นทางนี้”
“โอเคคคคคคคคคคคคค”

โอ้ยยยยยยยยยยยยย ถึงแล้วววววววววววววววววว
Half Way Guesthouse เกสเฮ้าส์ชื่อดังของเส้นทางนี้ ที่มีวิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


เรากับเพื่อนต้องมานั่งคิดว่าเอาไงดี ตอนนี้กำลังจะ 5 โมงเย็น ถ้าเราจะเดินไปให้ถึง Tina’s Guesthouse เกสเฮ้าส์สุดท้ายซึ่งคือปลายทางของเส้นทางนี้ เราก็น่าจะเดินถึงพร้อมกับฟ้ามืดพอดี แต่มันเหนื่อยมากแน่ และเราจะไม่ได้ละเมียดละไมกับเขาช่วงสุดท้ายของเส้นทางเลยนะ

เมื่อเรามาถึงครึ่งทางของเส้นทาง เราต้องทบทวนตัวเองว่าจริงๆเรามาเพื่ออะไร และเวลาที่เรามีมันมากแค่ไหน จริงๆคืนนี้เราต้องลงกลับไปนอนที่ลี่เจียงและเราก็จองที่พักที่ลี่เจียงไว้แล้วด้วย แต่เวลาที่เรามีและระยะทางที่เหลือเราไม่สามารถพาตัวเองไปถึงจุดหมายได้ทัน
คืนนี้เราจึงตัดสินใจว่าเราจะนอนที่ Half Way Guesthouse นี่แหละ ถึงแม้ระยะทางจากนี้ไปถึงปลายทางมันจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เราไม่อยากรีบจนไม่ได้ดูระหว่างทางและไม่อยากจะเสี่ยงมืดระหว่างทางด้วย
เราไม่รู้เหมือนกันว่าคิดถูกหรือคิดผิด แต่เราตัดสินใจแล้ว


Half Way Guesthouse
มีห้องพักค่อนข้างเยอะมีราคาตั้งแต่ 160 – 300 หยวนตามวิวของห้อง ภายในห้องมีอุปกรณ์ให้ครบทุกอย่างรวมไปถึงไดร์เป่าผมด้วยนะ คือโคตรดีเลย
ส่วนเราเลือกห้องที่อยู่ชั้น 1 ราคา 200 หยวน มีกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นวิวภูเขาสวยมากกกกกกกกก ส่วนใครงบเยอะเราแนะนำห้องชั้น 3 ราคา 300 หยวนวิวดีมากกกกกกกกกกกกก มีระเบียงไว้จิบกาแฟตอนเช้า ดูภูเขาไป สูดอากาศไป โอ้ยยยยยยดี


อีกอย่างนะคะที่เกสเฮ้าส์แห่งนี้เจ้าของให้คำแนะนำทุกอย่างดีมากกกกกกกกกกก และพูดภาษาอังกฤษได้ดีอีกด้วยค่ะ ส่วนใครที่อยากให้ทางเกสเฮ้าส์ช่วยโทรไปจองรถกลับให้ก็สามารถทำได้นะ

Day 4
ตื่นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
เช้านี้เราตั้งนาฬิกาปลุกให้เร็วขึ้น เพราะเราอยากออกเดินทางเร็ว
ฟ้าสว่างเมื่อไหร่ เราจะออกเดินทางทันที

วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ เรามี 1 มิชชั่นที่ต้องทำให้สำเร็จคือออออออออออ ทำอย่างไรก็ได้ให้เรากลับไทยได้ตามเวลาที่ซื้อตั๋วเครื่องบินเอาไว้ นั่นแสดงว่าเราต้องหารถลงจากเขาไปลี่เจียงเอง เราไม่สามารถนั่งบัสไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆได้ เพราะมันจะช้าแล้วทำให้เราไม่ทันเครื่องในประเทศ
โอ้ยยยยยยยยยยยยยย บีบหัวใจอีกแล้ววววววววววววว

“ดีนะมึงที่เมื่อคืน เราตัดสินใจไม่เดินต่อ”
“เอออออออออออออ เห็นด้วย”
“ทางแบบนี้เดินตอนมืดมีหวังเราได้ลงไปนอนก้นเหว”
“จริงว่ะ”



“มึงว่าเราจะมีรถกลับลี่เจียงป่ะ”
ขณะที่กำลังกำลังเดินอยู่จู่ๆเพื่อนก็ถามคำถามที่เราก็อยากที่จะตอบได้ขึ้นมา
“น่าจะมีนะ เมื่อวานเท่าที่คุยกับเจ้าของที่พักตอนอยู่ Half Way พี่เขาบอกว่าบอกให้ทาง Tina อ่ะ หาแท็กซี่ให้ได้นะ ราคาประมาณ 4-5ร้อยหยวน”
“ขอให้เรามีรถกลับเถอะ”
เราได้แต่ภาวนาในใจเช่นเดียวกับที่เพื่อนพูด

“มึงๆๆ กูได้ยินเสียงน้ำ ใกล้ๆนี่น่าจะมีน้ำตกนะ”
“คิดว่าน่าจะใช่นะ เพราะในแม็ปบอกว่าหลงจากผ่าน Half Way GH. แล้วจะมีน้ำตกหนึ่งแห่ง”
เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็นๆ หรืออาจจะเพราะพวกเรากำลังเดินเข้าใกล้น้ำตกด้วยละมั้ง เดินต่อไปอีกไม่นานนัก เราก็ได้เจอน้ำตกจริงๆด้วยค่ะ น้ำตกที่ไหลผ่านทางริมหน้าผา เป็นน้ำตกขนาดไม่ใหญ่แต่สวยมากกกก
เราชอบทางเส้นนี้นะมีอะไรให้ตื่นเต้นตลอด



“อีกนิดเดียว เราก็จะทำสำเร็จแล้วววววววววววว”
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ดีจายยยยยยยย”


ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จเราพาตัวเองมาถึง Tina’s Guesthouse แล้ววววววววววววว มันคือความดีใจมากกกกค่ะ ดีใจที่เราชนะตัวเองได้ ดีใจที่เราเอาตัวเองออกจากกรอบได้ ในที่สุดเราก็ Trekking ครั้งแรกของปีได้สำเร็จสักที

“พวกคุณมีตั๋วรถบัสกันรึยังครับ”
หลังจากที่เราลงมาถึง Tina’s Guesthouse ก็มีชายชาวจีนเข้ามาถามเราเกี่ยวกับตั๋วรถกลับเข้าเมือง
“ยังค่ะ แต่เราอยากเหมาแท็กซี่กลับ เพราะเราจะต้องไปถึงลี่เจียงก่อน 5 โมงเย็น คืนนี้เราต้องบินกลับประเทศไทย”
“อ๋อออออออ เหมารถได้ครับ 400 หยวน โอเคมั้ย”
เราหันมามองหน้าเพื่อนเพื่อถามว่าจะเอาไง เพื่อนหันมากระซิบบอกว่ายังไงเราก็ต้องหารถกลับ ไม่งั้นเราอาจจะตกเครื่อง
“โอเคค่ะ เราตกลงเหมารถ”
“ได้ครับ พวกคุณอยากเดินทางตอนเที่ยง หรือ บ่ายโมง”
“เที่ยงค่ะ”
“ได้ครับ”
เย้ !!!! ในที่สุดเราก็มีรถกลับไปลี่เจียงทันเวลา ใครที่ต้องกลับด่วนแบบเราสามารถแจ้งทาง Tina’s Guesthouse ได้นะคะ แต่ถ้าใครมีเวลาเหลือเฟือ ราคาค่ารถกลับลี่เจียงจะอยู่ที่ 40 หยวน รถจะออกตอนบ่าย 3 โมงครึ่งของทุกวัน
เรานั่งรอเวลาเที่ยงอยู่เกือบ 1 ชั่วโมงชายชาวจีนคนเดิมเดินมาตามบอกว่ารถพร้อมแล้ว
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย 400 หยวนที่ว่าแพง เราได้กลับรถมินิบัสคันหรู ดูดีแบบเอ็กคลูซีฟเว่อออ ทั้งรถมีผู้โดยสารแค่ 2 คน


จาก Tina’s Guesthouse ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงลี่เจียง
เราพอจะมีเวลาให้ไปหาอะไรกินและกลับมาเอาเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ฝากไว้ก่อนไปเทรค หลังจากนั้นเราหาแท็กซี่ให้ไปส่งเราที่สถานีบัสของสนามบิน ใครเปิดแม็ปชื่อสถานที่คือ Blue Hotel Airport Shuttle Drop off นะ
ราคาบัสกลับสนามบินคนละ 20 หยวนนะ

เหมือนเดิมค่ะ ใครเดินทางด้วยเครื่องบินในประเทศควรเผื่อเวลาหน่อย เพราะคนจีนเขามีจำนวนเยอะนะ อาจจะใช้เวลานานกว่าปกติหน่อย
ส่วนวิธีการต่อเครื่องหรือการรับกระเป๋าต่างๆก็ไม่ยากค่ะ ทุกขั้นตอน ทุกป้ายในสนามบินมีภาษาอังกฤษ

บทสรุป
“ฉันมาทำอะไรที่นี่”
วันแรกของการเทรคเราถามตัวเองมาตลอดทางว่าเรามาทำอะไรที่นี่ พาตัวเองมาลำบากทำไม แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ มีเทือกเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดของการเทรคในเส้นนี้ เราก็เริ่มค้นพบตัวเอง ว่าเราชอบตัวเองตอนเดินเทรคมากเลยนะ ในหัวไม่มีอะไร มันคือความโล่ง ความเบาสบายของความคิด ชอบการได้ดูวิวธรรมชาติที่อยู่ด้านหน้า ชอบการทรมานขาตัวเองด้วยการ Trekking มันเป็นความเจ็บปวดที่ทำให้เรามีความสุขมากเลยนะ
เราเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งค่ะ ไม่ใช่สายภูเขา หรือสายเทรคหรอก (แต่ก็อยากเป็นนะ) ออกกำลังกายบ้างแล้วแต่วันที่ขยัน แต่เราอยากพาตัวเองออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง แล้ววันนี้เราทำได้แล้วค่ะ เราก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองแล้วนะ มันคือความภูมิใจปนความสะใจยังไงไม่รู้
แต่เชื่อเถอะค่ะ ถ้าเราทำได้ทุกก็ต้องทำได้
ถ้าใครอยากลอง Trekking สักครั้ง เราอยากให้มาลองเดินเส้นทางโตรกเสือกระโจน เส้นทางที่ไม่ได้ง่ายจนน่าเบื่อ แต่ก็ไม่ได้ยากจนมือใหม่แบบเราทำไม่ได้
ถ้าหัวใจคุณยังแรง เราอยากให้คุณได้ลองสักครั้ง

หลงรักจีน
ปีที่แล้วเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงกลัวจีนแบบเรากล้าพาตัวเองไปเยือนประเทศจีน ความสนุกในทริปที่แล้ว ทำให้เรามองจีนเปลี่ยนไป
ปีนี้เราเลยกลับมาจีนอีกครั้ง กลับมาจีนครั้งที่สอง เราตั้งใจมองจีนมากขึ้น พยามทำความรู้จักเมืองลี่เจียงอีกครั้ง และครั้งนี้ลี่เจียงก็ทำให้เราตกหลุมรักลี่เจียงจริงๆด้วยค่ะ
ตลอดทริปเราเจอแต่คนจีนที่ดีและมีน้ำใจ มันทำให้เราเลิกกลัวจีนไปแล้วเปลี่ยนความกลัวมาเป็นความหลงรักเมืองนั้นแทน จีนมีอะไรอีกหลายอย่างที่รอให้เราไปค้นพบ หากคุณเป็นคนที่กลัวจีนแบบเราๆอยากให้คุณลองเปิดใจให้ประเทศนี้ดูสักครั้ง ไม่แน่คุณอาจจะรักหลงแบบที่เรากำลังเป็น

ระยะเวลาเทรคของเรา
เราใช้เวลาในการเดินเทรคทั้งหมด 3 วัน 2 คืน

สิ่งจำเป็นที่ควรรู้
- เช็คอากาศ : เส้นทางนี้เราควรเช็คอากาศก่อนไป มันสำคัญมากกกกกกกกกก ถ้ามีฝนควรเลี่ยงเด็ดขาด
- กระเป๋าที่แบกไป : ควรเอาเฉพาะของที่จำเป็นเท่านั้น เพราะเราต้องแบกทุกอย่างเอง ในการเดินตลอดเส้นทางนี้ ถ้าเอาไปเยอะเกิน มันจะกลายเป็นภาระ มากกว่าสัมภาระ
- รองเท้า : ควรเป็นรองเท้าเดินป่า หรือรองเท้าที่มีดอกเยอะ ช่วยในการกันลื่น ถ้ากันน้ำได้จะดีมากกกกกกกกก เพราะบางช่วงเราจะต้องเดินผ่านธารน้ำ หรือ น้ำตกเป็นบางช่วง
- ที่พัก : ที่พักแต่ละที่ราคาแตกต่างกัน (120-300 หยวน) ที่พักทุกที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกให้เราทุกอย่าง ตั้งแต่ผ้าขนหนูไปจนถึงแปรงสีฟัน
- น้ำและอาหาร : เราสามารถซื้ออาหารได้จากทุกเกสเฮ้าส์ อยากกินอะไรให้เซฟรูปไป ถ้าแม่ครัวได้ดูรูปจะทำออกมาเหมือนมากกกกกกกกก ส่วนน้ำดื่มนั้น นอกจากจะซื้อการเกสเฮ้าส์แล้ว เรายังสามารถซื้อได้จากร้านค้าที่อยู่ตามทางที่เราเทรค แต่แนะนำให้แพ็คน้ำไปให้พอ ส่วนราคานั้นจะแพงกว่าข้างล่างนิดหน่อย ไม่แพงจนไม่กล้ากิน
- ไม้เท้าเดินป่า หรือ trekking poles (สำคัญมากกับคนที่มีอาการเรื่องเข่า)
- ควรเซฟรูปสถานที่ต่างๆที่เราจะไปไว้ สำหรับเอาไว้ถามทางคนจีน
- กันแดด ใครมาช่วงฤดูหนาวแบบเราก็ไม่ควรชะล่าใจเรื่องแดด เพราะถึงแม้อากาศจะเย็นแต่แดดแรงมากกกกกกกกกก
- ห้องน้ำ : ตลอดเส้นทางจะมีเกสเฮ้าส์กระจายอยู่ตลอด เราสามารถขอเข้าห้องน้ำได้ทุกที่ และควรเอาทิชชู่เปียกไปด้วย
- Maps.me : App ที่ควรโหลดมากกกกกกกกกกกกกกก เพราะสามารถช่วยให้ดูเส้นทางและคำนวนเวลาในการเดินได้แม่นยำ
- Internet : แนะนำให้ซื้อ Sim True แบบ 8 วัน ราคา 399 บาท บนเขาก็มีเน็ตนะ ถึงแม้บางช่วงจะช้าบ้างแต่เล่นเน็ตได้ทุกที่เลยค่ะ
- และที่สำคัญที่สุดควรเตรียมร่างกายให้พร้อมมมมมมมมมมมมมมม
งบประมาณของทริป
- ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ กรุงเทพ – คุนหมิง : 3900 บาท
- ตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ คุนหมิง – ลี่เจียง : 3800 บาท
- วีซ่าจีน (ทำที่สงขลา) 1000 บาท
- ที่พักลี่เจียง (จองผ่านอโกด้า) คนละ 550 บาท (ราคา 1100 บาท หาร2คน)
- ราคาซิม True 399 บาท
- ค่าเดินทางทั้งหมด 1500 บาท (ถ้าไม่ต้องเหมารถกลับลี่เจียงจะเหลือแค่คนละ 500 บาท)
- ค่าที่พักบนเขา 2 คืน (หาร2) 900 บาท
- ค่ากินตลอดทริป 1500 บาท
ค่าใช้จ่ายรวม 12,800 บาท