คาเฟ่ฮ่องกงน่าเช็คอิน อัพเดท 2023

ทริปหนีเที่ยวฮ่องกงที่ผ่านมาของเรา (เมื่อเดือนกุมภาพันธ์2023) เป็นทริปที่เรากลับไปฮ่องกงในรอบ 5 ปี ทริปนี้เราหนีเที่ยวทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ทำให้เรามีเวลาที่ละเลียดละไมแวะทักทายคาเฟ่ในฮ่องกงในทุกๆเช้า

รีวิวนี้เลยถือโอกาสมาอัพเดทคาเฟ่ในฮ่องกงกันหน่อย อาจจะไม่ได้เยอะมากนัก แต่เอาไว้เป็นไกด์สำหรับสายคาเฟ่ที่กำลังจะหนีเที่ยวฮ่องกงแล้วกันนะคะ

% Arabica Hong Kong Star Ferry

หากใครติดตามบันทึกนักหนีเที่ยวมานาน ก็น่าจะพอรู้ว่าลิเดียเป็นแฟนคลับของกาแฟ % หรือ % Arabica Coffee และเมื่อมาฮ่องกงแล้วจะไม่แวะมาสั่งกาแฟสักแก้วก็เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเรา (ฮ่าๆ)

สาขาแรกที่เราจะชวนไปเช็คอินกันก็คือสาขา  % Arabica Hong Kong Star Ferry

% Arabica Hong Kong Star Ferry ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ Star Ferry ย่าน จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) อย่างที่เรารู้จักกันว่า % Arabica เป็นแบรนด์กาแฟที่รสชาติมาตรฐาน ทุกสาขาอร่อยเหมือนกัน แต่ความแตกต่างที่ทำให้แฟนคลับแบบเราตามไปเช็คอินทุกสาขานั่นก็คือ ตัวร้านของแต่ละสาขาตกแต่งออกมาได้สวยมาก มีความน้อยแต่มากตามสไตล์ของแบรนด์

บรรยากาศของสาขานี้ให้ความรู้สึกสบายๆ มีมุมให้นั่งไม่มากนัก และมีโต๊ะอยู่หน้าร้านอยู่ 2-3 โต๊ะที่เป็นรูปแบบของ Coffee Stand แต่กลับกลายว่ามุมนี้เป็นเอกลักษณ์ของสาขานี้ที่ถ่ายรูปออกมาสวยมากค่ะ

เรามาสาขานี้ช่วงเย็นๆทำให้คนไม่เยอะ สบายรูปสบายๆ

 % Arabica Hong Kong Star Ferry

เปิด : 9.00 -19.00 น.

การเดินทาง : นั่ง MTR มาลงสถานี Tsim Sha Tsui ทางออก L6 แล้วเดินไปที่ท่าเรือ Star Ferry ร้านอยู่ชั้น 2 (เดินตาม google mpas มาได้เลยค่ะ)

% Arabica Victoria Dockside

อีกหนึ่งสาขาที่อยู่ไม่ไกลจากสาขา  % Arabica Hong Kong Star Ferry ส่วนสาขานี้อยู่ในโลเคชั่นจุดเช็คอินยอดฮิตของคนมาฮ่องกง ที่นั่นคือ Avenue of Stars

% Arabica Victoria Dockside สาขานี้อยู่ริมอ่าววิกตอเรีย โดยความพิเศษของสาขานีได้ Rem Koolhaas สถาปนิกนักคิดและนักปฏิบัติ ผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบมามากกว่า 40 ปี เป็นคนออกแบบ

สาขานี้เป็นสาขาที่เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม แล้วไปหามุมเหมาะๆริมอ่าว ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มและบรรยากาศของฮ่องกง ใครมาเที่ยวฮ่องกง และมาเช็คอินที่ Avenue of Stars อย่าลืมแวะมา % Arabica นะคะ

% Arabica Victoria Dockside

เปิด : 10.00 -19.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก E หรือ สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก J1 หรือ J2

Cupping Room

อีกหนึ่งคาเฟ่ที่เราได้ลิสท์มาว่าเมื่อไปฮ่องกงต้องไปลองเช็คอินคาเฟ่แห่งนี้ให้ได้ และจริงๆแล้ว Cupping Room ก็มีอยู่แล้วหลายสาขา แต่สาขาที่เราไปคือ Central

Cupping Room สาขา Central อยู่ในตึกทำเลหัวมุมของถนนในย่าน Central ทำให้บรรยากาศนอกร้านก็ดูเท่ๆสไตล์ฮ่องกง ภายในร้านแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นโซนสั่งเครื่องดื่ม และมีมุมให้เรานั่งได้ไม่เยอะนัก ส่วนชั้นบนพื้นที่กว้างกว่า มีโต๊ะเก้าอี้ให้สำหรับคนที่นั่งดื่มกาแฟที่นานกว่า หรือจะนั่งทำงานก็เหมาะเลยนะ

กาแฟที่นี่สมคำล่ำลือ ใครเป็นสายกาแฟหนีเที่ยวฮ่องกงทริปหน้าอย่าลืมแวะไปเช็คอินกันนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -17.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-18.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central ทางออก D1 หรือ D2

GOODIN’ OUT Coffee

Goodin’ Out Coffee คาเฟ่ที่พึ่งเปิดใหม่ย่าน Tai Kok Tsui เรารู้จักร้านนี้ผ่านไอจีที่บล็อกเกอร์ชาวฮ่องกง

ตัวร้านเป็นสีขาวคลีนๆ อยู่ใกล้ย่านออฟฟิศของฮ่องกง ด้วยเรามาตอนเช้าตั้งแต่ร้านเปิด ทำให้เราไม่เจอใครเลยร้าน บรรยากาศของร้านเป็นแบบสบายๆ เราชอบมุมหน้าร้านริมถนนที่สามารถนั่งมองมนุษย์ออฟฟิศฮ่องกง เดินทางไปเข้างานกันไม่ขาดสาย

ร้านมีเมนูทั้งเครื่องดื่มและขนม เราสั่ง อเมริกาโน่ รสชาติดีมากทีเดียวค่ะ ใครอยู่ใกล้ย่านนี้แนะนำลองมาเช็คอินกันดูนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -19.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00น.

วิธีเดินทาง : แนะนำนั่งรถเมล์มานะคะ แล้วเดินเข้าซอยมาอีกประมาณ 500 เมตร

Halfway Coffee

ตัวร้านอยู่ในย่านร้านย่านอุปกรณ์ช่าง เดินเข้าซอยมาเรื่อยๆก็จะเจอกับร้าน ร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายมีความเป็นจีนแบบเดิมๆมาผสมกับความเข้มขรึมของร้านอย่างลงตัว

เราไปช่วงเช้าทำให้ในร้านยังไม่มีลูกค้าคนอื่น ทำให้เราสามารถเดินสำรวจร้านได้จนทั่ว ตัวร้านมองจากภายในนอกเหมือนจะมีขนาดแค่คูหาเดียว แต่เมื่อลองเดินไปทั่วๆ ถึงได้รู้ว่าางร้านจัดมุมเพื่อให้มีสเปซที่เยอะมาก

เราสั่งกาแฟ และ ชาเขียวใส่แก้วทานที่ร้าน เครื่องดื่มของเราก็จะเสิร์ฟมาในแก้วที่มองไกลๆก็ยังรู้ว่ามีความจีนผสมอยู่ในนั้น รสชาติเครื่องดื่มอร่อยมากทีเดียวค่ะ

เปิด : 8.00 -18.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงสถานี Sheung wan

(ส่วนตัวเรานั่งรถเมล์มาเลยเดินไม่ไกล)

Miam Bakery

ขอแถมจากคาเฟ่ที่น่าไปเช็คอินแล้ว ทริปนี้เราอยากจะแนะนำร้านขนมปังที่น่ารักและน่ากินมากๆอีกสักร้านหนึ่ง

ร้านนี้อยู่ในย่าน Central ร้านนี้เด่นมากเรื่องขนมปังและเบเกอรี่ โดยแต่ละวันจะมีเมนูไม่ซ้ำกัน ความพิเศษของร้านคือเราสามารถมองเห็นครัวที่อบขนมอีกด้วย ร้านนี้ไม่มีที่นั่งนะคะ เป็น take away เท่านั้น

ใครไปย่าน Central แล้วอยากไปลองกินขนมปังขงองร้านนี้สักหน่อยเราก็แนะนำมากเลยค่ะ และอีกอย่างที่ถูกใจคนชอบถ่ายรูป คือมุมหน้าร้านนี้น่ารักมากเลยค่ะ

เปิด : 8.00-18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์และอังคาร

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Sai Ying Pun

(ให้เดินทางด้วยรถเมล์ หรือ รถรางจะสะดวกสุด แต่เดินไกลหน่อยนะ)

 % Hong Kong Monster Mansion

ขอแถมอีกหนึ่งร้าน เพราะร้านนี้เราแค่ผ่านไปไม่ได้แวะสั่งเครื่องดื่มหรือขนม แต่เอามาฝากสำหรับใครที่จะไปถ่ายรูปที่ตึกทรานฟอร์เมอร์ก็จะสามารถเจอสาขานี้ได้

แน่นอนว่า % Arabica Coffee รสชาติถือว่าเป้นมาตรฐานทุกสาขา แต่ความน่าสนใจคือร้านของแต่ละสาขาจะมีเอกลักษณ์จนทำให้แฟนคลับ (อย่างเรา) ต้องไปตามเช็คอินอยู่เรื่อยๆ

สาขานี้ตั้งอยู่นบริเวณเดียวกับตึกที่เป็นจุดเช็คอินดังของฮ่องกงที่ปรากฎในภาพยนต์เรื่อง ซึ่งตึกนี้อยู่อาศัยของชาวฮ่องกง ตึก Transformer ซึ่งจริงๆแล้วตึกคือที่อยู่อาศัยจริงๆของชาวฮ่องกงที่มีชื่อว่า Montane Mansion หรือ Yick Fat Building นั้นเองค่ะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.30-19.00 น และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Tai Koo ทางออก B

The Cavalli Casa Resort | หนีเที่ยวไปนอนอยุธยา

ทริปนี้เราชวนหนีเที่ยวไปนอนชิลๆกันที่อยุธยา แม้เราจะเคยไปอยุธยามาหลายครั้งแล้ว แต่ทริปนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะไปนอนค้างคืนที่อยุธยา และทริปนี้เราตกลงปรงใจไปนอนชิลๆกันที่ The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort หรือ เดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท เป็นที่พักขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 35 ไร่ ที่มีห้องพัก 120 ห้อง ตัวอาคารแบ่งเป็นอาคาร   A อาคาร B โดยห้องพักจะมีทั้งหมด 5 Room type ได้แก่ Superior , Deluxe ,Grand Superior , Grand Deluxe และ Suite โดยแต่ละ Room type มีการตกแต่งที่ต่างกันด้วยภาพ Canvas สถานที่สำคัญของอยุธยา

นอกจากที่นี่จะเป็นที่พักที่มีห้องให้เลือกพักเยอะมาก The Cavalli Casa Resort ยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากอีกด้วยค่ะ ตัวที่พักตั้งอยู่ในตัวเมืองอยุธยา ห่างจากตลาดน้ำอโยธยา วัดเมหยงคณ์ และสถานีรถไฟอยุธยา ประมาณ 3 กิโลเมตร สามารถเดินทางจากโรงแรมไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ ในจังหวัดอยุธยาได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที

และนอกจากห้องจะมีให้เลือกพักหลากหลาย การเดินทางหนีเที่ยวในเมืองอยุธยายสะดวกแล้ว สิ่งที่เราชอบมากก็เช่นกัน ก็คือที่จอดรถเยอะมาก สามารถจอดได้ประมาณ 500 คัน อลังการมาก ซึ่งเหตุผลข้อนี้อาจจะเพราะที่นี่เขามีห้องประชุมและห้องจัดเลี้ยงทั้งหมด 10 ห้อง รองรับได้มากกว่า 900 ท่าน จะจัดงานประชุม สัมมนา งานแต่ง งานเลี้ยง รวมทั้งอีเว้นใหญ่ๆ ได้สบาย

ทริปนี้เราพักห้อง Suite ห้องกว้างอลังการมากก มุมพักผ่อน มุมทำงาน มีครบ ภายในห้องตกแต่งหรูหราสวยงาม ที่สำคัญเตียงนุ่มมากกกก นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่มเลย ยังไม่พอ ห้องน้ำกว้างมากอีกด้วย มีอ่างให้เราแช่น้ำได้ด้วยนะ

พาไปดูห้องพักของเรากันมาแล้ว เราจะพาทุกคนไปถ่ายรูปสวยๆ กับมุมถ่ายรูปสุดเก๋ภายในโรงแรมกันค่ะ รับรองว่าได้รูปโปรไฟล์ใหม่สวยๆแน่นอนค่ะ

สำหรับเย็นนี้เราไม่ได้ออกไปไหน เลยทานมื้อเย็นกันที่โรงแรมเลยค่ะ ร้านอาหารของโรงแรมบรรยากาศสบายๆ เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว มื้อเย็นเราจัดเต็มเลยค่ะ เพราะว่าหิวมากกก และรสชาติอาหารที่นี่อร่อยมากด้วยน้าาา หรือใครอยากจะดริ๊งค์ก็สามารถสั่งค็อกเทลดีๆมาทานได้นะ อร่อยมากกกเหมือนกัน ใครมาพักที่นี่แนะนำเลยค่ะ

เมื่อคืนเราหลับไปแบบสบายมากกก เพราะที่นอนนุ่มมากกก ได้หลับเต็มอิ่มเลยค่ะ บวกกับท้องอิ่มๆมาด้วย อิอิ

เช้านี้เราเลยจะชวนทุกคนไปเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำกันหน่อย สระว่ายน้ำของที่นี่จะอยู่บนชั้น 3 ของห้องอาหาร สระกว้าง น่าเล่นน้ำมากๆเลยค่ะ และสระของที่นี่วิวดีอีกด้วยนะ เป็นวิวมุมสูงที่เราสามารถมองเห็นเส้นทางรถไฟได้เลยค่ะ และใครมาในวันที่อากาศดีมุมสระว่ายน้ำเราสามารถเห็นวิวพระอาทิตย์แบบสวยๆด้วยนะ

(ใครอยากจะถ่ายรูปกับรถไฟเก๋ๆ สามารถสอบถามช่วงเวลาของรถไฟได้จากโรงแรมเลยนะคะ)

นอกจากสระว่ายน้ำที่น่าเล่นมากแล้ว ก็ยังมีฟิตเนสที่มีเครื่องออกกำลังกายครบมาก ได้ใจสายออกกำลังกายแน่นอน

ออกกำลังกายกันเสร็จแล้วเราจะชวนไปทานอาหารเช้ากันค่ะ อาหารเช้าที่นี่เขาจัดเต็มมากก มีเมนูต่างๆให้เราเลือกทานเยอะเลยค่ะ ใครชอบที่พักอาหารเช้าอลังการต้องพักที่นี่เลยนะ

ก่อนจะเช็คเอ้าท์กัน เราอยากจะชวนทุกคนไปเช็คอินคาเฟ่ Peaberry Cafe คาเฟ่น่ารักๆภายในโรงแรมกันค่ะ สายเครื่องดื่ม สายขนมห้ามพลาดเลยนะคะ อีกอย่างมุมถ่ายรูปน่ารักด้วยน้า

ใครกำลังมองหาที่พักนอนสบาย ห้องกว้าง อาหารอร่อย ที่จอดรถกว้างขวาง และยังเดินทางเที่ยวในอยุธยาได้สะดวก เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort

ที่อยู่ : 139/1-2 Moo 2 Bankao จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

Tel :  065 824 5364

FB : https://www.facebook.com/TheCavalliCasaResort/

Web : https://www.cavallicasaresort.com/

อยุธยา 2 วัน 1 คืน | 11 จุดเช็คอิน

อยุธยาจังหวัดใกล้กรุงเทพที่ไม่ได้มีแค่เมืองเก่า แต่สำหรับเมืองนี้ชิคมาก เป็นปลายทางที่เรามองว่าไปที่เดียวได้ครบตั้งแต่ไหว้พระ เช็คอินคาเฟ่ อาหารอร่อย และยังได้ของฝากกลับบ้านอีกด้วย

ทริปนี้เราขอพาทุกคนหนีเที่ยวอยุธยาผ่าน 11 จุดเช็คอินกันค่ะ

  1. วัดมเหยงคณ์

วัดมเหยงคณ์ ตั้งอยู่ใน ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อครั้งก่อนที่นี่เป็นพระอารามหลวง ปัจจุบันที่นี่มีความน่าสนใจทางด้านประวัติศาสตร์ให้นักท่องเที่ยวและชนรุ่นหลังแบบเรามาเที่ยวชม และที่นี่ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอีกด้วยนะคะ

ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนให้วัดมเหยงคณ์เป็น โบราณสถานของชาติ ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2484 ทำให้วัดมเหยงคณ์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดอยุธยา

สำหรับใครที่หนีเที่ยวจังหวัดอยุธยา อยากมาเที่ยวชมประวัติศาสตร์และโบราณสถาน เราแนะนำให้มาวัดมเหยงคณ์เลยค่ะ นอกจากเราจะได้ชมโบราณสถานแล้ว มุมถ่ายรูปที่นี่ก็สวยมากเลยค่ะ

วัดมเหยงคณ์

ที่ตั้ง : หมู่ 2 ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 13000 

2. วัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ เป็นวัดที่อยู่ใน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จุดเด่นของที่นี่คือ เศียรพระพุทธรูปที่อยู่ในรากไม้ ทำให้ที่นี่เป็น Unseen ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อมาไหว้พระที่อยุธยา เพราะเป็นภาพที่งดงามและแปลกตาในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นวัดมหาธาตุเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวชมโบราณสถานที่อยุธยาเลยล่ะค่ะ

วัดมหาธาตุ

ที่อยู่ : เชิงสะพานป่าถ่าน ถนนนเรศวร ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

3. วัดใหญ่ชัยมงคล

วัดใหญ่ชัยมงคล อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของจังหวัดอยุธยาสำหรับนักท่องเที่ยวเลยค่ะ เพราะวัดแห่งนี้มี เจดีย์องค์ใหญ่ โบราณสถานต่างๆ สวยงาม  นอกจากนี้ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระนอนที่ วิหารพระพุทธไสยาสน์ และ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทุกคนเคารพนับถือ และไปกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ

ใครหนีเที่ยวมาอยุธยาแล้ว วัดใหญ่ชัยมงคลเป็นอีกวัดที่เราไม่ควรพลาดเลยค่ะ

วัดใหญ่ชัยมงคล

ที่อยู่ : 40/3 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

4.Roasi Coffee

Roasi Coffee คาเฟ่ดีไซน์สวย และมีจุดเด่นคือมีมุมหน้าต่างวิวทุ่งนาสุดเก๋ มองยังไงก็เกาหลี เกาใจแน่นอน คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในปั้มน้ำมัน ESSO อ.บางปะหัน  ริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้ากรุงเทพ ห่างจากตัวเมืองอยุธยาประมาณ 20 นาที 

ตัวร้านเป็นอาคาร 2 ชั้น ภายในร้านตกแต่งสวยมากกกก โดยธีมของตกแต่งในร้านจะเปลี่ยนไปตามเทศกาลต่างๆ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ ก็เลยได้มุมดอกกุหลาบสวยๆมาด้วยค่ะ แต่โซนที่เราชอบมากที่สุด ชอบมากถึงขั้นให้คาเฟ่นี้เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ต้องมาให้ได้เลยค่ะ โซนนี้อยู่บนชั้นสองเป็นมุมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสีเขียวของทุ่งหน้า เป็นมุมที่มองด้วยตาก็ว่าสวยแล้ว ถ่ายรูปออกมายิ่งสวยเข้าไปใหญ่เลยค่ะ

ส่วนเมนูเครื่องดื่มของที่นี่ กาแฟถือว่าดีมากเลยค่ะ มีขนมให้เราเลือกทานเยอะมากด้วยนะ

Roasi Coffee

ที่อยู่ : ปั๊ม Esso ถนนสายเอเชียขาเข้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

เปิด : 8.00-19.00 น.

Tel : 065 464 9239

FB : https://www.facebook.com/RoasiCoffee/

5. The Summer Coffee Company (Old Town)

อีกหนึ่งคาเฟ่ที่ถ้ามาอยุธยาไม่มาเช็คอินที่นี่ถือว่าพลาดมาก เพราะนอกจากกาแฟจะดีมาก มุมถ่ายรูปก็ปังมากกกก (เราได้มาเป็นร้อย 555)

The Summer Coffee Company เป็นโรงคั่วที่ขายเมล็ดกาแฟทางออนไลน์อยู่แล้ว ทำให้กาแฟร้านนี้อร่อยแน่นอน ร้านตั้งอยู่ในเมืองตรงกลางซอยตลาดองค์การโทรศัพท์เลยค่ะ หาไม่ยากขับรถตาม google maps มาได้เลย

ตัวร้านออกแบบมาให้แสงธรรมชาติเข้าถึงทุกส่วน ทำให้ภายในร้านบรรยากาศดีมากกก เหมาะกับการนั่งเล่นในวันสบายๆ หรือนั่งทำงานก็ได้ สิ่งที่เราชอบมากคือการใช้สีแบบมินิมอลและสีอิฐตามบรรยากาศเมืองเก่าอยุธยา เมื่อเจอกับแดดแรงๆ ที่นี่เลยกลายเป็นคาเฟ่ที่แสงสวยมาก ถ่ายรูปออกมาคือปังทุกมุม ใครชอบดื่มกาแฟแบบเราต้องหลงรักที่นี่ เพราะเมนูกาแฟมีเยอะมากกกก กาแฟที่นี่คือดีย์ !!

The Summer Coffee Company (Old Town)

ที่อยู่ :   4 90 ถ. ราเมศวร ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด : 8.00-18.00 น.

Tel : 093 353 3883

FB : https://www.facebook.com/summer.coffee.co/

6. Busaba Cafe & Bake Lab

Busaba Cafe & Bake Lab คาเฟ่แนวห้องแล็ป แนวนักทดลอง ความเก๋ของคาเฟ่แห่งนี้คือวิวกระจกที่มองเห็นโบราณสถาน ให้ความเป็นเมืองเก่าอยุธยาแต่มีความชิค ความเก๋ ปะปนเต็มไปหมด

คาเฟ่แห่งนี้แปลงโฉมตึกแถวอายุ 30 ปีให้กลายเป็น ห้องทดลองเบเกอรี่ของ “บุษบา” แน่นอนว่าขนมที่นี่หน้าตาน่ารักและน่าทานมากกก แต่ไม่ใช่แค่ขนมนะที่น่าทาน เพราะเราชอบเมนูกาแฟของที่นี่มากเหมือนกัน ดีงามสุดๆ

และแน่นอนมุมที่ทำให้เราอยากมาคาเฟ่แห่งนี้มากนั้นก็คือออ วิววัดราชบูรณะ ที่มุมนี้คือปังมากก

Busaba Cafe & Bake Lab

ที่อยู่ : 9 25 ซอย ชีกุน ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด : 9.00-18.00 น.

Tel : 064 040 3353

FB : https://www.facebook.com/busabacafebakelab/

7. TBAR

TBAR คาเฟ่ดีไซน์เก๋ที่เชื้อเชิญให้เราเข้าไปทำความรู้จัก ส่วนตัวเรารู้จักคาเฟ่แห่งนี้ผ่านเพื่อนบนแพล็ตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดีย เราชอบมุมหน้าร้านที่เก๋ ทริปอยุธยาทริปนี้เลยได้โอกาสตามรอยไปเช็คอินกันหน่อย

เมื่อเข้ามาในร้านแล้วทำให้รู้ว่า คาเฟ่แห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าร้านที่เก๋ เพราะภายในก็เก๋มากเช่นกัน การใช้โซนสี เฟอร์นิเจอร์ และบรรยากาศภายในร้าน ทุกอย่างลงตัวกำลังดีไม่มากไม่น้อย เมนูเครื่องดื่มก็ดีมากกก

ใครมาอยุธยาเราไม่อยากให้พลาดที่นี่เลยค่ะ

TBAR

ที่อยู่ : ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัด

เปิด : 10.00-18.00 น. หยุดทุกวันพุธ

Tel : 092 408 4848

FB : https://www.facebook.com/tbar.ayutthaya/?locale=th_TH

8. The Cavalli Casa Resort

ทริปนี้หนีเที่ยวมานอนกันที่ The Cavalli Casa Resort ที่พักบรรยากาศดี อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอยุธยา (ใช้เวลาไปในเมืองอยุธยาประมาณ 15 นาที)

The  Cavalli Casa Resort หรือ เดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท เป็นที่พักขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 35 ไร่ มีห้องพัก 120 ห้อง ตัวอาคารแบ่งเป็นอาคาร   A อาคาร B   นอกจากห้องพักที่นี่จะเยอะแล้ว อยากจะบอกว่าที่จอดรถก็เยอะมากเช่นกัน

ทริปนี้เราพักห้องแบบ SUITE Room ห้องพักขนาดใหญ่ มุมในห้องเยอะมากก ตั้งแต่เตียงคิงซ์ไซส์ มุมโซฟาเบด มุมทำงาน ห้องแต่งตัว และห้องน้ำที่มีพื้นที่กว้างพร้อมกับอ่างสำหรับแช่ตัวด้วย

ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ห้องกว้างนะคะ เพราะว่าสระว่ายน้ำที่นี่ก็ดีมาก มีมุมที่เห็นรถไฟผ่านด้วย (ช่วงเวลาของรถไฟสามารถถามโรงแรมได้เลย) ยังค่ะ ยังไม่หมด ที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมากกก มีห้องอาหารที่เปิดบริการตลอดทั้งวัน มื้อเย็นเราก็เลยฝากท้องที่นี่เลย ส่วนอาหารเช้าก็อร่อยมากกก

ใครสายคาเฟ่ที่นี่ก็มีคาเฟ่นะคะ เครื่องดื่ม และขนมมีให้เลือกทานได้จุใจเลย ใครหนีเที่ยวอยุธยา กำลัมองหาที่พักสวย ห้องใหญ่ พักสบาย อาหารอร่อยทุกมื้อ เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ

The Cavalli Casa Resort

ที่อยู่ : 139/1-2 Moo 2 Bankao จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

Tel : 065 824 5364

FB : https://www.facebook.com/TheCavalliCasaResort/?locale=th_TH

Web : https://www.cavallicasaresort.com/suite-room

9. ก๋วยเตี๋ยวเรือ (ป้าเล็ก) เจ้าเก่า

มาอยุธยาถ้าไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวเรือ เท่ากับว่าเรายังไม่ถึงอยุธยา (ไม่รู้ใครบอกนะ จำเขามา555) ทริปนี้เลยถามเพื่อนคนอยุธยา ว่าร้านไหนอร่อย เพื่อนแนะนำเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ (ป้าเล็ก) เจ้าเก่า

ที่ร้านป้าเล็กจะมีหมู และ เนื้อ จะมีแค่ชามเล็กเท่านั้น ราคาชามละ 20 บาท (ทั้งหมูและเนื้อ) เรากับเพื่อนจัดไปคนละ 5 ชาม อร่อยมั้ยไม่ต้องถาม เพราะอิ่มจนจะกลิ้งกลับ

ก๋วยเตี๋ยวเรือ (ป้าเล็ก) เจ้าเก่า

ที่อยู่ :  ถ. บางเอียน ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด :8.00-17.00 น. หยุดทุกวันพุธ

Tel : 089 804 7418

10. กรุงเก่า “เตี๋ยวเรือ”

บุคคลที่ชอบก๋วยเตี๋ยวเรือมากแบบเรา มาอยุธยาทั้งทีก็ขอกินก๋วยเตี๋ยวเรือมันทั้ง 2 วันเลย วันนี้เรามาทานกันที่ กรุงเก่า “เตี๋ยวเรือ” ร้านนี้ออกแนวเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือแบบฟิวชั่นหน่อย สโลแกนของร้านคือไม่ต้องปรุง เพราะทางร้านปรุงมาให้แล้ว แซ่บ จัดจ้าน อร่อยมากทีเดียวค่ะ

กรุงเก่า”เตี๋ยวเรือ”

ที่อยู่ : 3/1 ม.1 ปรตูชัย อยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด :8.30-16.30 น.

Tel : 092 685 7770

11. โรตีสายไหม บังอิมรอน

จุดเช็คอินสุดท้ายก่อนที่เราจะบอกลาอยุธยาในทริปนี้ เราขอพาทุกคนมาแวะซื้อของฝากกันหน่อยค่ะ นั่นก็คือ โรตีสายไหม และถึงแม้โรตีสายไหมจะมีหลากหลายเจ้ามากๆๆ แต่เราถามเพื่อนคนอยุธยามาแล้วว่า เจ้าไหนอร่อย เพื่อนบอกว่า ต้องบังอิมรอน อร่อยแน่นอน แป้งสด เพราะนั่งทำกันที่หน้าร้านเลย

ใครมาอยุธยาอย่าลืมแวะไปลองน้าว่าอร่อยเหมือนที่เราแนะนำมั้ย

โรตีสายไหม บังอิมรอน

ที่อยู่ : ถ. อู่ทอง ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัด

เปิด : 7.00-20.00 น.

Tel : 085 812 4288

Singapore ที่คิดถึง

ทริปสุดท้ายก่อนเราจะได้รู้จักโควิด เราไปสิงคโปร์มาค่ะ

ทริปแรกของปี 2023 ครั้งที่เราเริ่มอยู่กับโควิดเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ประเทศที่เราเลือกหนีเที่ยวประเทศแรกก็คือ “สิงคโปร์”

ทริปนี้เป็นทริปที่เราไปสิงคโปร์ครั้งที่ 5 หรือ 6 แล้วไม่แน่ใจ แต่รีวิวนี้จะเป็นรีวิวแรกที่เราจะเล่าการเดินทางในประเทศสิงคโปร์ของเราแบบละเอียด เผื่อว่ารีวิวนี้จะไปกระตุ้นต่อมเที่ยวของใครสักคนให้ออกเดินทาง

ทริปนี้เราหนีเที่ยวสิงคโปร์ 4 วัน 3 คืน เป็นทริปหนีเที่ยวที่ไม่ได้แพลนอะไรมากมาย เที่ยวแบบสบายๆ อาจจะไม่ได้ไปตามแหล่งเช็คอินดังๆ (เพราะหลายๆที่เราเคยไปมาแล้ว)

สิงคโปร์เป็นประเทศที่คนไทยไม่ต้องขอ Visa เราสามารถเที่ยวสิงคโปร์ได้ภายในระยะเวลา 30 วัน

ทริปนี้เราเดินทางจากหาดใหญ่ด้วยสายการบิน Scoot นะคะ ใครอยู่หาดใหญ่อยากจะหนีเที่ยวไปสิงคโปร์ แอบกระซิบว่า ถึงแม้จะมีสายการบินเดียวที่ให้บริการแบบบินตรง แต่ราคาน่ารักกว่าเริ่มต้นจากกรุงเทพมากเลยค่ะ อาจจะเพราะจากหาดใหญ่ไปสิงคโปร์ใช้เวลาประมาณ 90-100 นาที

ลืมบอกว่าจากหาดใหญ่เราเดินทางคนเดียวนะคะ และวันแรกที่จะเที่ยวสิงคโปร์ก็เที่ยวคนเดียวด้วยค่ะ แต่ทริปนี้มีเพื่อนหนีตามมาด้วยจากกรุงเทพในช่วงค่ำวันที่สองของทริปนะคะ (งงมั้ย)

เข้าสิงคโปร์ 2023 ต้องทำอะไร

  • กรอก SG Arrival Card ในเว็บหรือแอปพลิเคชั่น MyICA Mobile

วิธีกรอกไม่ยากค่ะ เราสามารถเปลี่ยนเป็นภาษาไทยได้ เราสามารถกรอกได้ล่วงหน้า 3 วัน เราแนะนำว่าให้อัพโหลดใบรับรองการฉีดวัคซีนของเราด้วยนะคะ และหากใครที่ลืมกรอกสุดท้ายก่อนเราจะไปเข้าคิวผ่าน ตม. เราก็จะต้องกรอกแบบออนไลน์อยู่ดี ดังนั้นกรอกไปเลยง่ายสุดค่ะ

ใครจะกรอกในเว็บ สามารถเข้าไปกรอกได้ที่ >> https://eservices.ica.gov.sg/sgarrivalcard/

  • ใบรับรองการฉีดวัคซีน

เราแนะนำให้แคปหน้าจอเอาไว้ เผื่อว่า ตม. จะเรียกตรวจ แต่ทางที่ดี ให้อัพโหลดไปตั้งแต่กรอกใบ arrival card

ตม.ถามอะไรบ้าง

เรื่องคำถามอาจจะช่วยอะไรทุกคนไม่ได้ เพราะของเรา ตม. ไม่ถามอะไรเลย อาจจะเพราะเราเคยมาเที่ยวสิงคโปร์ประมาณ 5-6 ครั้งแล้ว และแต่ละครั้งเราอยู่ไม่เคยเกิน 5 วันเลย

สำหรับใครที่เป็นนักท่องเที่ยว เป็นผู้หญิงมาคนเดียวแบบเรา มั่นใจ สบตา ตม. เอาไว้ ผ่านได้สบายๆแน่นอนค่ะ

วิธีเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง

วิธีเดินทางจากสนามบินสิงคโปร์เข้าเมืองที่ง่ายที่สุดสำหรับเราคือ การใช้ MRT วิธีการใช้รถไฟฟ้าสิงคโปร์ก็ง่ายมากค่ะ เราแนะนำให้ทุกคนโหลดแอปพลิเคชั่นที่ชื่อว่า SG MRT เป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับใช้ในการเช็คสายรถไฟฟ้า ใช้งานง่ายมากค่ะ และค่าเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองสิงคโปร์จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 $

อัตราแลกเปลี่ยนเงินสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 25-26 บาท ต่อ 1 ดอลล่าสิงคโปร์

หลังผ่าน ตม. มาแล้ว รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ให้เรามองหาป้ายที่เขียนว่า Train to City แล้วเดินตามมาเรื่อยๆเลยค่ะ เพราะป้ายจะพาเราไปที่สถานีรถไฟฟ้า

สำหรับใครที่หนีเที่ยวสิงคโปร์ครั้งแรก เราขอแนะนำวิธีการใช้แอปพลิเคชั่นแบบเข้าใจง่ายๆดังนี้ค่ะ

  1. กรอกสถานีต้นทางที่เราอยู่ และ กรอกสถานีปลายทางที่เราจะไป

สำหรับทริปนี้เราพักย่านเกลัง ซึ่งจะต้องเดินทางมาถึงที่สถานีที่ชื่อว่า Ajiunied และสถานีต้นทางของเราคือ Changi Airport

2. สำหรับรถไฟฟ้าที่ออกจากสนามบินสิงคโปร์ เราจะต้องไปเปลี่ยนสายที่ Tanah Merah วิธีการเปลี่ยนสายก็ไม่ยากค่ะ แค่เดินไปรางตรงข้ามกับที่เราลงมาแค่นั้น (ใครมาครั้งแรกไม่ต้องกลัวว่าจะหลงนะคะ เพราะ 95% บนรถไฟที่มาจากสนามบิน ทุกคนจะลงเปลี่ยนสายทั้งหมดค่ะ )

นั่งรถเมล์ในสิงคโปร์

อย่างที่เราได้เล่าไปมาเราเคยมาสิงคโปร์หลายครั้งแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ก็จะเดินทางด้วย mrt เป็นหลัก แต่ทริปนี้โรงแรมที่เราพักเดินทางด้วยรถเมล์สะดวกกว่า ทำให้ทริปนี้เราเลยได้นั่งรถเมล์ในสิงคโปร์เป็นครั้งแรก แล้วค้นพบว่าจริงๆการเดินทางด้วยรถเมล์ทำให้เราเที่ยวสิงคโปร์ได้ง่ายขึ้นมากเลยค่ะ

วิธีการเช็คป้าย และสายรถเมล์ที่เราจะเดินทางในสิงคโปร์ก็ไม่ยากค่ะ เราแค่ต้องใช้แอพพลิเคชั่น Google maps เข้ามาช่วยในการเช็ครถเมล์ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นจุดที่ป้ายไหน รถป้ายไหน รถสายอะไร จะมาถึงตอนไหน เราสามารถใช้ google maps เช็คทุกอย่างได้เลยค่ะ

Hotel

ทริปหนีเที่ยวสิงคโปร์ในครั้งนี้เราเลือกมาพักโรงแรมที่ไม่เคยพักมาก่อนค่ะ เพราะด้วยเหตุผลคือห้องกว้างและราคาไม่แรง ที่นี่ชื่อว่า Hotel 81 Premier Star สาขานี้อยู่ในย่าน Gaylang ซึ่งบางคนบอกว่าย่านนี้น่ากลัว เพราะมีธุรกิจกลางคืนเยอะ แต่สำหรับเรามองว่าปกติค่ะ หน้าโรงแรมไม่เปลี่ยวนะถึงแม้จะมีธุรกิจกลางคืนเต็มไปหมดก็ตาม ออกแนวคึกครื้นด้วยซ้ำ

วิธีเดินทางมายังโรงแรม : สาขานี้อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า Aljunied (สายสีเขียว)

  • ให้เรานั่ง mrt มาลงที่สถานี Aljunied ทางออก A หรือ B ก็ได้
  • ต่อรถเมล์ที่มีป้ายอยู่ตรงหน้าสถานี mrt ได้เลย โดยสามารถเช็ครถได้จาก Google maps แล้วนั่งมาลงที่ป้ายถัดไปเลย (1ป้าย) ปากซอย Geylang 18 จากนั้นก็เดินเข้าซอยประมาณ 200 เมตรก็จะถึงโรงแรม

เหตุผลที่เราเลือกพักที่นี่เพราะว่า ห้องกว้างสำหรับห้องที่มี 2 เตียง ในสิงคโปร์ถ้ามีพื้นที่ในห้องไม่แคบเกินไป ราคาก็จะค่อนข้างแรงค่ะ แต่ที่นี่ภายในห้องมีพื้นที่ เป็นห้อง2เตียงที่ไม่แคบ และที่สำคัญราคาน่ารัก ประมาณ 2500 บาท/คืน เราหารกับเพื่อน ราคาพอๆกับพักโฮสเทลเลยค่ะ

ภายในห้องจะมีขนาดกำลังดี สะอาด ห้องน้ำไม่แขบจนหมุนตัวไม่ได้ แต่ตัวอ่างล้างหน้าจะออกมาอยู่นอกห้องน้ำนะคะ มีน้ำดื่มให้วันละ 2 ขวด มีกาต้มน้ำ ตู้เซฟ ทีวี เตียงนุ่มสบาย รวมๆเราถือว่าดีเลยค่ะ

Day 1 : ผู้หญิงเดินทางคนเดียว นั่งรถเมล์ ทักทายพี่สิงโต

วันแรกของทริปเราเดินทางจากหาดใหญ่ บินตรงมาลงที่สิงคโปร์เลย ทำให้กว่าจะเข้าที่พัก ก็ค่ำแล้ว วันนี้เราไม่มีแพลนจะไปเที่ยวไหน สุดท้ายเก็บของแล้วเลยนั่งรถเมล์ไปเดินเล่นที่ Merlion Park

Merlion park

Merlion สิงโตครึ่งปลาที่กำลังพ่นน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ ใครมาสิงคโปร์แล้ว ไม่มาทักทาย Merlion ก็เหมือนมาไม่ถึงสิงคโปร์

วันนี้เราเลยมาเดินเล่นกันที่ Merlion park สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเรา และยังเป็นสถานที่พักผ่อน ออกกำลังกายของคนสิงคโปร์ ใครจะมาสิงคโปร์ เราแนะนำว่าช่วงเย็นๆมาเดินเล่นแถวนี้กันค่ะ บรรยากาศดี แม้บางวันนักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อย แต่ที่นี่เป็นอีกหนึ่งที่ที่อยากให้ปักหมุดมากันนะ

วิธีการเดินทาง : mrt สถานี Raffles Places ทางออก G (และให้เดินตาม google maps ต่อนะคะ ไปครั้งแรกอาจจะงงๆหน่อย)

Day 2 : เที่ยวคนเดียว สวนลอยฟ้า และ เพื่อนหนีตามมาเที่ยวด้วย

วันที่สองของทริปนี้เรายังคงเที่ยวคนเดียวอยู่ แต่คืนนี้เพื่อนเราจะหนีเที่ยวตามมาจากกรุงเทพ วันนี้เราไม่ได้มีแพลนอะไรมากมาย มีสิ่งที่อยากไป อยู่แค่ 3 ที่ (ขนาดไม่มากมาย 5555) วันนี้เราเดินทางด้วยรถเมล์เป็นหลักเหมือนเดิม

รถเมล์สิงคโปร์บางสายบางคัน จะเป็นรถเมลล์แบบสองชั้น เราโชคดีวันนี้ชั้นบนเก้าอี้หน้าสุดว่าง เลยได้ทัวร์ชมเมืองแบบราคาถูกมากๆ

% Arabica Singapore CapitaSpring

เราเป็นหนึ่งในแฟนคลับของกาแฟ %Arabica และตอนนี้ในสิงคโปร์ก็มีอยู่หลายสาขา วันนี้เราเลยไปสาขาที่ใต้ตึก Capita Spring สาขานี้ลูกค้าส่วนใหญ่คือพนักงานออฟฟิศในย่านนี้ เป็นสาขาที่ไม่มีคิวเลย เพราะว่าไม่มีที่นั่งของร้าน

วิธีเดินทาง : เราแค่นั่งรถเมล์มาลงป้ายใกล้สุดแล้วเดินต่อมาเรื่อยๆ

National Gallery Singapore

หลังจากได้กาแฟแก้วโปรดแล้ว จุดหมายที่สองของเราในวันนี้คือ National Gallery Singapore แนะนำใครที่มาสิงคโปร์ตรงกับวันศุกร์ – เสาร์ – อาทิตย์ อยากเดินเล่นมิวเซียม เราแนะนำเลยค่ะ เพราะสามวันที่เราบอกไป เป็นวันที่เราสามารถเข้าได้ฟรี ไม่ต้องซื้อตั๋วใดๆ ถือว่าดีมากๆๆเลยค่ะ

ใครมาเดินเล่นที่นี่แนะนำว่าควรมีเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะว่าที่นี่กว้าง มีผลงานต่างๆให้เราเดินชมเยอะมาก ใครมีเวลาเยอะเดินที่นี่สนุกเลยค่ะ

การเดินทาง :

  • Mrt สถานี City Hall  ทางออก B
  • Mrt สถานี Clarke Quay ทางออก E

ปล. ทริปนี้เราไปที่นี่สองวันเลยมีรูปที่มีเพื่อนไปด้วยนะคะ

ArtScience Museum

วันนี้เป็นวันที่เราเที่ยวคนเดียว เลยเที่ยวแบบสบายเลยค่ะ อยากไปไหนก็ไปได้ วันนี้เลยขอพาตัวเองไปอีกหนึ่งมิวเซียม ที่นี่คือ ArtScience Museum

ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะและวิทยาศาสตร์ ถ้าอ่านจากชื่อที่แปลเป็นไทย อาจจะไม่ค่อยน่าไปเดินเล่นสักเท่าไหร่ แต่เรารู้จักที่นี่จากไอจีที่มีคนอัพรูปมิวเซียมแห่งหนึ่งที่มีภาพเคลื่อนไหวสีสวยๆ เหมือนเราได้หลุดเข้าไปในดาวไหนสักแห่ง ที่นี่เป็นมิวเซียมที่ผสมผสานระหว่างศิลปะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน (ยิ่งอธิบายยิ่งงง เอาเป็นว่าไปเดินเล่นกันดีกว่าค่ะ)

สำหรับคนที่จะมาเที่ยวที่นี่คนเดียว (แบบเรา) ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าถ่ายรูปยากมากกก

ค่าเข้า : (ประมาณ) 400 บาท แนะนำให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปเลยนะคะ

วิธีเดินทาง :  mrt สถานี Bayfront ทางออก D 

Marina Barrage

ออกจากมิวเซียม เราเปิดกูเกิ้ลแมปส์แล้วเดินไปยังจุดหมายปลายทางที่เราอยากไปที่สุดในทริปนี้ ที่นี่คือ Marina Barrage หรือ เขื่อนมารีน่า ถ้าบอกชื่อทุกคนอาจจะงงๆว่ามันคือที่ไหน เราขออธิบายง่ายๆก็คือ ภาพสนามหญ้าที่มีฉากหลังเป็นตึกสำคัญๆของสิงคโปร์ เป็นภาพที่ดูแค่ผ่านตาก็รู้เลยว่าที่นั่นคือประเทศไหน

วิธีเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างจะต้องเดินไกลหน่อยนะคะ เราแนะนำให้มาตอนเย็นๆ บรรยากาศดีมากกก เอาเสื่อหรือแผ่นรองนั่งมาด้วย แล้วใครจะซื้อขนม ของกินเล่นก็แนะนำเลย เพราะว่าคนสิงคโปร์เองจะนิยมมาปิคนิคกันที่นี่ค่ะ สวนแห่งนี้อยู่บนชั้น 3 ของตึกนะคะ เราสามารถเดินขึ้นบันได หรือ ขึ้นลิฟต์มาก็ได้ค่ะ

วิธีการเดินทาง : mrt สถานี Gardens by the bay (ไม่มีรถไฟจอดสถานีนี้นะคะ) แต่ให้เดินมาออกทางออก 1 ของสถานีนี้ แล้วสวนจะอยู่ทางขวามือ เดินอีก 500 เมตรก็ถึงแล้ว

Day 3 : เพื่อนหนีตามมาเที่ยวด้วย ข้าวมันไก่ และ มุมถ่ายรูปสุดฮิต

วันนี้เป็นวันที่สามของทริปสิงคโปร์ วันนี้เราไม่ได้เที่ยวคนเดียวแล้วค่ะ เพราะมีเพื่อนตามมาเมื่อคืนตอนดึกจากกรุงเทพ เช้าวันนี้มีเพื่อนแล้วเตรียมไปตะลุยกันค่ะ

% Arabica Singapore Arab Street

สาขานี้ถือเป็นสาขาแรกของ % Arabica coffee ในสิงคโปร์เลยค่ะ เราเคยมาสาขานี้แล้วเมื่อตอนที่เปิดสาขาใหม่ๆ ตอนนั้นคนเยอะมากกก ผ่านมาหลายปี (และช่วงโควิดด้วย) กลับมาอีกครั้งวันนี้คนยังเยอะเหมือนเดิม

ใครมาเที่ยวถ่ายรูปเล่นที่ arab street หรือ Haji land มีเวลาว่างแวะมาเช็คอินที่สาขานี้กันค่ะ

ร้านข้าวมันไก่เจ้าดัง

เที่ยงวันนี้เราตั้งใจจะไปชิมข้าวมันไก่สิงคโร์เจ้าดัง โดยร้านนี้อยู่ที่ศูนย์อาหาร Maxwell Food Centre ในย่านไชน่าทาวน์ ร้านนี้ชื่อว่า Tian Tian Hainanese Chicken Rice เอาจริงๆไปถึงแล้วหาไม่อยากเลยค่ะ เพราะเป็นร้านข้าวไก่ที่แถวยาวที่สุดเลยค่ะ

รสชาติอร่อยดีนะคะ ไก่ไม่ตบแบบบ้านเรา แต่ก็จะแบบเลี่ยนๆไปหน่อย เอาเป็นว่าใครอยากลองข้าวมันไก่สิงคโปร์สักครั้ง เราแนะนำว่าให้มาเลยค่ะ

มุมฮิต มุมปัง

จริงๆแล้วสิงคโปร์มีมุมถ่ายรูปฮิตๆเยอะมากกก วันนี้เราถือว่าไหนๆก็มาไชน่าทาวน์แล้ว เลยถือโอกาสมาถ่ายรูปมุมที่เก็บลิสต์มานาน ที่นี่ก็คือตึก potato head

S.E.A Aquarium

ตลอดบ่ายวันนี้เรายกเวลาให้กับ S.E.A. Aquarium ที่นี่เป็นอควาเรียมที่ใหญ่ระดับโลก ใครมาที่นี่แนะนำว่าควรมีเวลาอย่างน้อย 3 ชม. เพราะนอกจากที่นี่จะกว้าง มีสัตว์น้ำจัดแสดงเยอะ หากหลายโซน มุมถ่ายรูปก็เพียบ

เรากับเพื่อนชอบการเที่ยวอควาเรียมมากกกกก ทริปนี้เลยใช้เวลาอยู่ที่นี่เพลินเลยค่ะ การนั่งมองปลาว่ายน้ำไป ว่ายน้ำมานี่เพลินมากจนเราไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนเลยค่ะ ใครที่จะมาเที่ยวที่นี่เลี่ยงช่วงเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดได้จะดีมากเลยค่ะ

ค่าเข้า : 1050 บาท (ประมาณ) แนะนำซื้อล่วงหน้าผ่านแอปเอเจนซี่ต่างๆไปเลยค่ะ

การเดินทาง : เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้านะคะ นั่ง mrt มาลงที่สถานี HarbourFront ทางออก C เดินต่อมาที่ห้าง VivoCity ชั้น 3 เพื่อต่อรถไฟสาย Sentosa Express แล้วมาลงที่สถานี Waterfront

Marina Bay Sand

วันนี้เที่ยวกับเพื่อนเราก็จะใช้เวลาคุ้มหน่อย ถ้ามาคนเดียวเราน่าจะเรื่อยๆเปื่อยๆ 555 คืนนี้เลยไปเดินเล่นกันที่ marina bay sand แต่เราไม่ได้เดินเล่นในห้าง หรือพาไปรีวิวโรงแรมนะคะ เราออกมาเดินเล่น ดูบรรยากาศริมอ่าวกันค่ะ เจอแอปเปิ้ลสาขาใหม่สวยมากกก

ใครจะมาดูโชว์แสงสีเสียงของสิงคโปร์ ก็มาที่นี่เลยนะคะ

อาทิตย์ – พฤหัส แสดง 2 รอบ : เวลา 20.00 น.  และ  21.00 น.
ศุกร์ – เสาร์ แสดงวันละ 3 รอบ : เวลา 20.00 น. ,  21.00 น. และ 22.00 น.

วิธีเดินทาง : mrt สถานี Bayfront ทางออก D

Mongkok Dimsum

คืนนี้เรายังไม่จบค่ะ เพราะว่าเราจะชวนทุกคนไปกินติ่มซำกันตอนดึก ร้านนี้ชื่อว่า Mongkok Dimsum เป็นร้านติ่มซำที่เปิด 24 ชม. ร้านกับโรงแรมเราอยู่ห่างกัน 1 ป้ายรถเมล์ โดยร้านจะอยู่ปากซอย Gaylang 8

คืนนี้จบโปรแกรมเที่ยวของเราแล้วค่ะ เป็นวันที่เที่ยวคุ้มมากกกกก และนี่คือโฉมหน้าของคนเที่ยวยันเที่ยงคืน เดินจนตีนจะแตก 5555

Day4 : วันสุดท้ายของทริป ตามหาที่ถ่ายรูป

วันนี้เราตื่นกันสายๆ มีเป้าหมายแรกที่จะไปคือพาเพื่อนเราไปทักทายพี่สิงโต ใครมา Merlion park ตอนกลางวันนี่สู้มากกก เพราะแดดร้อนมากกกก แต่มาตอนกลงวันภาพก็สวยมากเหมือนกันนะ

Street Art และ มุมถ่ายรูปทั่วประเทศ

ทักทายพี่สิงโตเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินไปหามุมถ่ายรูปยอดฮิตที่อยู่ไม่ไกลจากแถวนี้กันต่อค่ะ ที่นี่คือตึกสีๆ ชื่อทางการคือ อาคารกองบัญชาตำรวจเก่า (Old Hill Police Station) เราเดินมาตาม google maps แล้วก็มาถึงแล้วค่ะ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ เราไม่มีแพลนอะไรมากไปกว่าการถ่ายรูปเล่นกับมุมสวยๆทั่วสิงคโปร์ ต้องบอกว่าบางพิกัด ให้เราอธิบายวิธีการเดินทางเราก็อธิบายไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเราก็เดินไปเรื่อยๆ บางครั้งก็เจอด้วยความบังเอิญ

เราชอบสิงคโปร์ที่ฟุตบาทเดินสะดวก มีมุมถ่ายรูปกระจายไปเที่ยวเมือง มันทำให้นักท่องเที่ยวแบบเราเพลินมาก แม้อากาศที่นี่จะร้อนมาก (แบบเมืองไทย) ก็ตาม

Jewel Changi Airport

ใครมาเที่ยวสิงคโปร์วันกลับเราแนะนำให้เผื่อเวลาสำหรับการไปเดินเที่ยวในสนามบินชางงี สนามบินที่ติดอันดับโลก และทริปนี้เราจะชวนไปเที่ยวกันที่ Jewel Changi Airport ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ภายในมีน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก

ใครจะเดินทางกลับก็เผื่อเวลามาที่นี่เยอะๆเลยค่ะ เพราะนอกจากจะไปดูน้ำตก การแสดงแสงสีเสียง (ตอนเราไปไม่มีนะ 555) ภายใน Jewel ยังอัดแน่นไปด้วยร้านค้าต่างๆ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่สามารถดูดเงินในกระเป๋าเราให้หายไปอย่างง่ายได้เลยค่ะ

วิธีเดินทาง : mrt สถานี Changi Airport

สิงคโปร์เราอาจจะไม่เหมือนใคร ไม่ได้ไปเก็บแต้มจุดถ่ายรูปมากนัก แต่มันเป็นสิงคโปร์ที่เราคิดถึง

อุทัยธานี ครั้งแรก 2 วัน 1 คืน | 10 จุดเช็คอิน

“อุทัยธานี” เป็นจังหวัดที่อยู่ส่วนไหนของแผนที่ประเทศไทยว่ะ ??

ประโยคข้างต้นเป็นบทสนทนาของเรากับเพื่อน

ทริปนี้เป็นทริปหนีเที่ยวจังหวัดอุทัยธานีครั้งแรกของเรา เรามีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ไหนๆก็เป็นครั้งแรกแล้ว เราขออาสาพาทุกคนที่ยังไม่รู้จักอุทัยธานีหนีเที่ยวไปด้วยกันในทริปนี้ค่ะ

ทริปนี้เราขอพาทุกคนหนีเที่ยวทำความรู้จักอุทัยธานีผ่าน 10 จุดเช็คอินที่น่าสนใจกันค่ะ

  1. วัดท่าซุง

สถานที่แห่งแรกที่เราอยากจะชวนทุกคนมาเช็คอินกันเมื่อมาถึงจังหวัดอุทัยธานี สถานที่แห่งนี้ก็คือ วัดท่าซุง วัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุทัยธานี ใครมาอุทัยธานีแล้วก็แนะนำให้มาที่พระวิหารแก้วที่ ประดิษฐาน พระพุทธชินราชจำลอง และสรีระสังขารของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อย ใครมาอุทัยธานีแล้วก็อยากแนะนำให้แวะมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันค่ะ

วัดท่าซุง

วิหารแก้วจะเปิดให้เข้าชม 2 รอบ คือ เช้า: เปิด 9.00 – 11.45 น. และ บ่าย: เปิด 14.00 – 16.00 น.

2. X-bar Café

มาถึงจังหวัดอุทัยธานีแล้ว เราไปหากาแฟดีๆสักแก้วกันค่ะ คาเฟ่แรกที่เราอยากแนะนำก็คือ X-bar cafe คาเฟ่บรรยากาศเท่ห์ๆ ของอุทัยธานี คาเฟ่แห่งนี้เน้นเมนูของเครื่องดื่ม กาแฟอร่อยมากทีเดียวค่ะ และที่สำคัญที่ชอบมากคือ ราคาแต่ละเมนูน่ารักมาก ใครหนีเที่ยวมาอุทัยธานีอยากดื่มกาแฟอร่อยๆสักแก้วเราแนะนำที่นี่เลย

X-bar Café

ที่อยู่ :  ซอย รักการดี เมือง อำเภอเมืองอุทัยธานี อุทัยธานี 61000

เปิด : 7.00-16.30 น.

Tel : 080 966 2328

FB : https://www.facebook.com/XbarcafeUthaithani/

3. เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์

ทริปนี้เราหนีเที่ยวอุทัยธานี 2 วัน 1 คืน โดยที่พักที่เราอยากมาพักมากที่สุดในอทุยธานีก็คื “เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์”

เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์ ที่พักน่ารักที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะเทโพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในตัวเมืองอุทัยธานี พื้นที่โดยรวมของที่พักไม่มากนัก แต่ที่นี่ออกแบบบ้านพักให้มีความเป็นส่วนตัวมาก ภายในห้องพักของเราก็น่ารักมากก ห้องกว้าง แบ่งสัดส่วนระหว่างโซนเตียง พื้นที่พักผ่อน และห้องน้ำได้ดีเลย เราชอบที่นี่มาก มุม แสง ทุกอย่างถูกจัดมาให้สวยมาก

บรรยากาศที่พักตอนเย็นก็ดีมากค่ะ เราแค่ข้ามถนนคอนกรีตเล็กๆ ก็สามารถชิลกับริมน้ำเจ้าพระยาได้แล้ว ราคาที่พักที่นี่จะรวมอาหารเช้าด้วยนะคะ โดยเมนูอาหารทางที่พักจะให้เราเลือกตั้งแต่ตอนเช็คอินเลยค่ะ

เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์

ที่อยู่ : ตำบล เกาะเทโพ อำเภอเมืองอุทัยธานี อุทัยธานี 61000

Tel : 081 870 4066

FB : เรือนคุณแม่ โฮมสเตย์