ชวนนั่งรถไฟจีน – ลาว | ต้นทางหลวงพระบาง ปลายทางเวียงจันทร์

ทริปนี้เราจะชวนทุกคนไปนั่งรถไฟจีน – ลาวกันค่ะ และทริปหนีเที่ยวลาวในครั้งนี้ของเราเป็นทริปเที่ยวลาวครั้งแรกด้วยนะ แต่รีวิวนี้เราขอพูดถึงการเดินทางด้วยรถไฟจีนลาว ที่มีต้นทางจากหลวงพระบาง – ปลายทางเวียงจันทร์

ปัจจุบันรถไฟจีนลาวที่มีเส้นทางในปัจจุบันจะเริ่มต้นต้นทางที่เวียงจันทร์ และ ปลายทางบ่อเต็น โดยจะมีสถานีระหว่างที่นักท่องเที่ยวอย่างเรามักใช้ในการเดินทาง ก็จะมี 3 เมืองหลักๆ ก็คือ เวียงจันทร์ – วังเวียง – หลวงพระบาง

ก่อนจะเดินทางเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรถไฟจีนลาวกันหน่อย

  • นอกจากตอนนี้เส้นทางรถไฟจีนลาวที่เปิดให้เดินทางในลาวแล้ว จะมีสถานีเวียงจันทร์ – วังเวียง – หลวงพระบาง – อุดมไซ – นาเตย – บ่อเต็น
  • รถไฟจีนลาว จะมีที่นักให้บริการแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นธุรกิจ , ชั้น1 และ ชั้น2 ราคาค่าตั๋วก็จะต่างกันตามชั้นที่นั่ง
  • รถไฟจะมีหลายรอบ (วันละประมาณ 2-3 รอบ) ให้เราเลือกเดินทาง

วิธีจองตั๋วรถไฟจีนลาว

(ทริปนี้เราเดินทางเมื่อช่วงปลายกุมภาพันธ์ ขณะนั้นแอปพลิเคชั่นในการจองตั๋วรถไฟยังใช้ไม่ได้)

  • เราสามารถไปจองตั๋วได้ด้วยตัวเอง หรือ จะใช้เอเจนซี่ในการจองก็ได้

แต่ทริปนี้เราใช้บริการของเอเจนซี่นะคะ ในการจองตั๋ว โดยแน่นอนว่าราคาตั๋วจะถูกบวกเพิ่มไปหน่อย แต่มันสะดวกกับเรา เพราะว่าถ้าจะต้องไปจองตั๋วเองเราจะต้องนั่งรถไปยังสถานีรถไฟซึ่งอยู่ไกลจากเมืองพอสมควร ดังนั้นสำหรับเราใช้บริการเอเจนซี่คุ้มกว่ามากๆเลยค่ะ

  • ตั๋วสามารถจองได้ล่วงหน้าแค่ 3 วันเท่านั้น

เอเจนซี่ที่รับจองส่วนใหญ่ก็จะรับจองตั๋วล่วงหน้าประมาณ 3 วัน เพราะตั๋วรถไฟจะเปิดให้เราสามารถซื้อได้ล่วงหน้าแค่ 3 วันเท่านั้น

  • การจองตั๋วจะต้องใช้พาสปอร์ต

สำหรับใช้ที่จะจองตั๋วและผ่านเอเจนซี่เราจำเป็นต้องถ่ายรูปหน้าพาสปอร์ตให้เอเจนซี่ไปนะคะ แล้วเขาจะสามารถไปทำการจองตั๋วให้เราได้ค่ะ

เราขอเอาข้อมูลเอเจนซี่เราใช้ในการจองตั๋วแปะไว้ให้นะ แต่ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้รู้จักส่วนตัวกับทางเอเจนซี่นะคะ แต่ไม่ได้รับเงินในการโฆษณาใดๆ (แถมจ่ายเงินซื้อตั๋วเองด้วย 5555)

ใครสนใจอยากใช้บริการสามารถติดต่อไปเลยนะคะ

ถึงเวลาออกเดินทาง

ทริปนี้เราเดินทางด้วยรถไฟสถานีต้นทางที่หลวงพระบาง และมีปลายทางที่สถานีเวียงจันทร์ ด้วยทริปนี้ตั้งใจที่จะไปทดลองนั่งรถไฟจีนลาว เพื่อมาเล่าให้ทุกคนฟัง เราเลยเลือกที่จะตั๋วรถชั้น1 (เพราะหลายๆคนน่าจะรีวิวรถไฟชั้น 2 ไปเยอะแล้ว)

ที่สถานีรถไฟภายในลาวจะเปิดให้ผู้โดยสารที่มีตั๋วเท่านั้นสามารถเข้าไปในตัวอาคารได้ และผู้โดยสารที่มีตั๋วที่ว่านั้น จะสามารถเข้าภายในอาคารได้ก่อนเวลาที่รถไฟจะมาแค่ 1 ชม. เท่านั้น และก่อนที่เราจะสามารถเข้าอาคารผู้โดยสารได้ เราจำเป็นจะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสัมภาระที่เข้มงวดพอๆกับสนามบินเลยค่ะ

ภายในอาคารผู้โดยสารกว้างขวางมาก มีห้องน้ำที่ค่อนข้างสะอาดเลยค่ะ และมีจุดบริการน้ำดื่มด้วย แต่ภายในอาคารผู้โดยสารไม่ได้ขายขนมหรือเครื่องดื่มนะคะ ดังนั้นใครที่อยากจะมีอะไรทานระหว่างโดยสารด้วยรถไฟ สามารถเตรียมมาล่วงหน้าได้ หรือจะไปซื้อบนขบวนรถก็ได้ค่ะ

เมื่อใกล้ถึงเวลาทางสถานีจะประกาศให้ผู้โดยสารมาต่อแถวรอตรวจตั๋วอีกครั้งเพื่อที่จะได้ออกไปรอรถไฟที่ชานชลา โดยในตั๋วจะบอกว่าเรานั่งตู้ไหน ก็จะมีบอกว่าตู้ไหนอยู่ที่ชานชลาที่เท่าไหร่ หากไม่แน่ใจเราสามารถถามเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ

ในที่สุดรถไฟเราก็มาแล้ว มาก่อนเวลาที่จะออกประมาณ 10 นาที เราจองตั๋วชั้น 1 มาทำให้ผู้โดยสารในตู้ที่เรานั่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่ดูเป็นนักธุรกิจมากกว่าแบ็คแพ็คเกอร์

ความดีงามของที่นั่งของชั้น 1

  • เบาะที่นั่งจะจัดเป็น 2-2 ที่นั่งกว้าง นั่งสบายมากกก
  • ตัวเบาะเอนได้ มีที่วางพักเท้า และมีที่แขวนสัมภาระ
  • มีโต๊ะส่วนตัวทุกที่นั่ง เราสามารถวางออกมาทำงาน หรือทานข้าวได้
  • มีปลั้กไฟและช่องเสียบ USB ตัวเบาะเอนได้
  • มีน้ำดื่มให้บริการ (เราสามารถกดได้)
  • มีห้องน้ำสะอาด

ทริปนั่งรถไฟเราเดินทางคนเดียว ตอนจองตั๋วเลยบอกกับเอเจนซี่ว่าถ้าเป็นไปได้ขอเก้าอี้ริมหน้าต่าง เรามันคนชอบดูวิวข้างทางนี่เนอะ

เมื่อรถไฟเคลื่อนเข้ามาในชานชลาก่อนที่ผู้โดยชุดใหม่จะสามารถขึ้นไปบนรถไฟได้ ทางรถไฟจะมีพนักงานกับความสะอาดเข้าไปทำความสะอาดแต่ละโบกี้ก่อน แล้วเจ้าหน้าที่ประจำโบกี้จะบอกให้เราว่าสามารถขึ้นรถไฟได้ตอนไหน

เราจองชั้น 1 ด้วยความอยากรู้ว่า จะสบายมากแค่ไหนกันนะ เมื่อเข้ามาในกระบวนรถแล้ว ที่นั่งของเราอยู่ริมหน้าต่างตามความต้องการ ผู้โดยสารข้างๆเราเป็นคนลาวที่ดูเป็นนักธุรกิจ และความเข้มขรึมของเขา ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำตัวรบกวนเขามากนัก

รถไฟออกจากชานชาลาตามเวลาที่บอกไว้ในตั๋ว จะบอกว่าความตื่นเต้นที่อยากนั่งมองข้างทางค่อยๆหดตัวลง ไม่ใช่เพราะวิวข้างทางไม่สวยหรอกนะ แต่เส้นทางรถไฟสายนี้ (น่าจะ) ใช้วิธีเกาะภูเขาเป็นส่วนใหญ่ เพราะตลอดเส้นทาง เราจะได้เห็นวิวประมาณ 2 นาที สลับความมืดที่รถไฟวิ่งเข้าอุโมงค์อีก 5 นาที สลับไปแบบนี้ตลอดเส้นทาง

การเดินทางจากหลวงพระบาง ปลายทางเวียงจันทร์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตลอดระยะทางรถไฟชั้น 1 ที่เราเดินทางบรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ จะมีช่วงที่มีรถเข็นขนมจากตู้สเบียงมาขายของเป็นบางช่วง และด้วยความสบายของเบาะที่นั่ง ทำให้เราหลับไปนานพอสมควร

การเดินทางครั้งนี้ทำเป็นอีกครั้งเราได้ลองนั่งรถไฟในต่างแดน แม้ต่างแดนที่ว่านี้จะอยู่ใกล้ไทยมากๆ และหวังงว่าการเดินทางครั้งหน้าเราจะได้ทดลองนั่งรถไฟที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้อีกครั้ง


วิธีเดินทางจากเมืองหลวงพระบางมายังสถานีรถไฟ

ขอแถมวิธีการเดินทางจากในเมืองหลวงพระบางมายังสถานรถไฟไว้สำหรับคนที่หาข้อมูลหน่อยค่ะ ด้วยสถานีรถไฟหลวงพระบางอยู่ไกลจากตัวเมืองหลวงพระบางใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชม. เห็นจะได้ ดังนั้นการเดินทางมายังสถานีรถไฟแห่งนี้ก็ไม่ได้สะดวกมากนัก

  • แนะนำให้ถามโรงแรมที่พักว่ามีรถจอยไปส่งที่สถานีรถไฟมั้ย
  • ราคาค่ารถประมาณ 30,000 – 40,000 กีบ (เราลืมตัวเลยเป๊ะๆ)
  • รถจะมาวนรับเราตามโรงแรมที่อยู่
  • รถจะไปส่งเราในช่วงเวลาที่เราจะสามารถเข้าอาคารผู้โดยสารเท่านั้น (ล่วงหน้าจากเวลาตั๋วรถไฟเราไม่เกิน 2 ชม. เพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางไปยังสถานีรถไฟด้วย)

วิธีเดินทางเข้าเมืองเวียงจันทร์จากสถานีรถไฟ

หากใครที่จะเดินทางเข้าเมืองเวียงจันทร์ เราเอาวิธีการเดินทางแบบราคาถูกมาฝากกันค่ะ

  • รถเมล์ปรับอากาศเข้าเมืองเวียงจันทร์ จอดอยู่หนาสถานีและมีคนตะโกนเรียกลูกค้าอยู่หาไม่ยาก ถ้าไม่ชัวร์ให้ถามว่าสถานที่เราจะไป รถเมล์สายนั้นไปมั้ย เพราะจะมีรถเมล์รออยู่ 2 สาย คือเข้าเมือง และไปสนามบิน
  • ค่าโดยสาร 15,000 กีบ
  • รถสุดสายเวียงจันทร์ได้เลย หรือจะลงประตูไชยก็ได้
  • มี QR Cord ให้สแกนเส้นทางรถเมล์ด้วย
  • ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.

Hong Kong | 4 วัน 3 คืน

ฮ่องกงประเทศที่เราหนีเที่ยวบ่อย เป็นจุดหมายปลายทางที่เดินทางง่าย เที่ยวได้สบาย มีตั้งแต่ของกินอร่อย มุมชิคๆ วัดดัง ไปจนถึงสวนสนุกระดับโลก ทำให้ฮ่องกงเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ใครๆก็อยากจะมาให้ได้

ทริปนี้เรามีเวลาเที่ยวฮ่องกง 4 วัน 3 คืน เป็นการได้กลับมาฮ่องกงอีกครั้งในรอบ 5 ปี ทริปนี้เลยได้มีโอกาสไปอัพเดทคาเฟ่ แหล่งที่เที่ยว และการเดินทางไปฮ่องกงมาฝากทุกคนกันค่ะ

Hong Kong Airline

ทริปนี้เราเดินทางด้วยสายการบิน Hong Kong Airline เดิมทีเราเคยเดินทางด้วยสายการบินไปฮ่องกงมาแล้ว 2-3 ครั้ง ก่อนหน้านี้เราสามารถโหลดกระเป๋าได้ฟรี เลือกที่นั่งได้ และมีอาหารเสิร์ฟ ซึ่งจะบอกว่าสายการบินนี้คือ สายการบินฟูลเซอร์วิช ที่ราคาน่ารักก็ว่าได้

แต่ในปัจจุบัน เราไม่สามารถโหลดกระเป๋าได้ (ต้องซื้อน้ำหนักเพิ่มเท่านั้น) แต่บนเครื่องจะมี snack และเครื่องดื่มบริการนะคะ

โดยรวมเราชอบเวลาของสายการบินนี้ ไฟล์ทไปถึงฮ่องกงเช้าเที่ยวต่อแบบไม่เสียเวลา และขากลับก็มีให้เราเลือกเยอะ ส่วนของที่นั่งถือว่ากำลังดี มีจอ ถ้าได้โหลดกระเป๋าฟรีด้วยจะเริ่ดมาก

การเดินทางเข้าฮ่องกง

ปัจจุบัน (อัพเดท ก.พ. 2566) การเดินทางเข้าฮ่องกง ไม่ต้องแสดงเอกสารใดๆ เมื่อไปถึงเราแค่กรอกฟอร์มของ ต.ม. แล้วก็ผ่านสามารถเข้าประเทศได้เลย

ตอนที่เราเข้าฮ่องกงทริปนี้ ต.ม. ไม่ถามอะไรเลย ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเราก็พร้อมเที่ยวได้เลย

ที่พัก

ทริปนี้เราพักที่ Metropark Hotel Mongkok ที่พักที่คนไทยคุ้นเคยกันดี เมื่อเราค้นหาว่าจะไปพักที่ไหนดีในฮ่องกง เราจองที่พัก 3 คืนในราคาประมาณ 7000 บาท หารกับเพื่อน 2 คน ถือว่าเป็นที่พักที่ราคาน่ารักมาก ทำเลดีเดินทางสะดวก และ ห้องกว้าง (กว่าห้องในฮ่องกงทั่วไป)

ข้อดีของ Metropark Hotel Mongkok

  • เดินทางสะดวก สามารถนั่งรถเมล์สาย A21 มาจากสนามบินลงหน้าโรงแรมได้เลย
  • ใกล้ป้ายรถเมล์ และ สถานีรถไฟฟ้า
  • ราคาคืนละ 2500 – 4000 บาท (ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา)
  • อยู่ในย่านมงก๊ก

ข้อเสียของ Metropark Hotel Mongkok

  • ห้องพักเต็มเร็วมาก
  • ขากลับสนามบิน ถ้าจะกลับด้วยรถเมล์จะต้องไปต่อรถ ยากกว่าขามาจากสนามบินหน่อย

บัตรปลาหมึก หรือ Octopus

สำหรับใครที่ต้องการจะซื้อบัตรปลาหมึกหรือบัตร Octopus สามารถซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟจากภายในสนามบินได้เลย แต่ปัจจุบันนี้การเดินทางด้วยรถบัส และการซื้อของอื่นๆในฮ่องกงเราสามารถใช้บัตร Visa หรือ Master ได้แล้ว

แต่สำหรับใครที่จะเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้บัตร Octopus อยู่นะคะ รวมถึงการซื้อของในร้านเล็กๆบางร้านจะไม่รับ Visa หรือ Master แต่จะรับ Octopus เท่านั้นค่ะ

ราคาบัตร 200 HKD (แต่จะเป็นค่ามัดจำบัตร 50 HKD เราสามารถใช้ได้แค่ 150 HKD)​

ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราจะเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองด้วยรถบัส เพราะว่าทริปนี้เราพักที่ Metropark Hotel Mongkok โรงแรมที่มีป้ายรถเมลล์อยู่ด้านหน้าพอดีเลย

เมื่อเราผ่าน ตม. พร้อมกับกระเป๋าเดินทางแล้ว ให้เรามองหาBus ที่บอกว่า To city ให้เราเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เราจะเจอกับจุดขึ้นรถบัสค่ะ

รถบัสA21 สามารถเดินทางเข้าเมืองผ่านแหล่งที่พักที่นักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่พักกัน โดยรถบัสA21จะเริ่มให้บริการตั้งแต่ ตี 5.30 – เที่ยงคืน แล้วหลังจากเที่ยงคืนรถบัสจะเปลี่ยนสายเป็น N21 ให้บริการตั้งแต่หลังเที่ยงคืน – ตี5 ของทุกวัน ระยะเวลาเดินทางประมาณ 35-45 นาที

ใครพักโรงแรม Metropark Hotel Mongkok สามารถลงรถที่ป้ายที่ 6 Metropark Hotel Mongkok, Lai Chi Kok Road ไม่ต้องกังวลว่าเราจะงง ลงรถผิดรึป่าว เพราะรถบัส หรือ รถเมล์ในฮ่องกงจะมีจอบอกป้ายที่จะถึงทุกคัน หายห่วงไม่หลงแน่นอนค่ะ

ค่าโดยสาร : 33 HKD (ราคาผู้ใหญ่) เราสามารถใช้บัตรปลาหมึก หรือ บัตร Visa / Master ได้เลยค่ะ

การเดินทางในฮ่องกง

ทริปนี้เราเราเดินทางด้วยรถเมล์เป็นหลัก เพราะด้วยที่พักเราอยู่ในทำเลที่เดินทางด้วยรถเมล์สะดวกมาก แต่ก็มีสถานที่ที่เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้าอยู่บ้างเหมือนกัน

วิธีที่เช็คการเดินทางได้สะดวกที่สุดเราใช้ google map เพื่อดูสายรถเมล์ ป้ายรถเมล์​ต่างๆ

Day1

  • Good Hope Noodle
  • % Arabica Victoria Dockside
  • Avenue of Stars

วันแรกกว่าเราจะไปถึง กว่าจะเช็คอินโรงแรม เข้าห้อง ล้างหน้าแปรงฟังอะไรเรียบร้อย ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวันแล้ว วันนี้เราเลยมีแพลนเที่ยวแบบไม่เร่งไม่รีบ

Good Hope Noodle

เมนูที่เราชอบมากเมื่อมาฮ่องกงคือ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ทริปนี้เราเลยตั้งใจหา บะหมี่เกี๊ยวร้านโปรดร้านใหม่ทดแทนร้านเดิมที่ปิดสังเวยให้กับพิษโควิดในฮ่องกง

Good Hope Noodle บะหมี่เกี๊ยว มิชลิน 2019 ร้านนี้มีอยู่ทั้งหมด 3 สาขา แต่วันนี้เราไปสาขา Sai Yee St ใกล้ที่พักเดินประมาณ 10 นาทีก็มาถึงร้านแล้ว ร้านนี้เป็นที่นิยมของคนฮ่องกงเอง มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร โซนที่นั่งในร้านก็มีเยอะ แต่เกือบจะเต็มตลอดเวลา และร้านนี้รับแค่เงินสดเท่านั้น

เรากับเพื่อนสั่งเมนูแนะนำของร้านนี้มาคนละชาม

– บะหมี่เกี๊ยวฮ่องกง (Noodle with Cantonese Wanton in Soup)
– บะหมี่หมูซอสพริก (Braised Noodle with Shredded Pork & Special Sauce) 

สำหรับเราร้านนี้ยังไม่อร่อยขนาดนั้น และติดเค็มมากไปหน่อย และเกี๊ยวกุ้งลูกไม่ใหญ่มากนัก แต่หากใครมาแถวนี้มาลองทานได้นะ อาจจะรู้สึกแตกต่างกับเราก็ได้

เปิด : 11.00 -22.00 น.

ราคาเริ่มต้นที่ : 37 HKD (รับเงินสดเท่านั้น)

% Arabica Victoria Dockside

สาขานี้อยู่ริมอ่าววิกตอเรีย โดยความพิเศษที่นี่ได้ Rem Koolhaas สถาปนิกนักคิดและนักปฏิบัติ ผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบมามากกว่า 40 ปี เป็นคนออกแบบ

สาขานี้เป็นสาขาที่เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม แล้วไปหามุมเหมาะๆริมอ่าว ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มและบรรยากาศของฮ่องกง ใครมาเที่ยวฮ่องกง และมาเช็คอินที่ Avenue of Stars อย่าลืมแวะมา % Arabica นะคะ

เปิด : 10.00 -19.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก E หรือ สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก J1 หรือ J2

Avenue of Stars

ใครมาเช็คอินกาแฟ % สาขา Victoria Dockside อยากจะชวนมาเดินเล่นที่ถนนสายซุปเปอร์สตาร์ที่อยู่ใกล้กัน หรือที่รู้จักในชื่อ Avenue of Stars ถนนที่รวมรวบเอารอยฝามือของดาราที่มีชื่อเสียงมาประทับเอาไว้ให้เราได้ชมกัน ช่วงเวลาเย็นๆ โซนนี้เหมาะกับการนั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจมากทีเดียวนะคะ

เปิด : ตลอดเวลา

วิธีเดินทาง : MTR สถานี East Tsim Sha Tsui Station ทางออก P1 

Day2

  • นั่งรถรางฮ่องกง
  • Cupping Room
  • Miam Bakery
  • Monster Mansion
  • Hong Kong Museum of Art
  •  % Arabica Hong Kong Star Ferry
  • Victoria Harbour

วันที่สองของทริป เราตั้งใจเก็บที่เที่ยวที่ลิสท์ไว้ในใจทั้งหมด อาจจะเป็นที่เที่ยวที่ไม่ใช่ที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมไปกันมากนัก แต่เป็นที่ที่เราอยากไปมาก ฮ่าาาา

นั่งรถรางฮ่องกง

ใครมาฮ่องกงจะต้องมาถ่ายรูปกับรถราง แต่ทริปนี้เราจะชวนทุกคนไปนั่งรถรางกันค่ะ เรามาฮ่องกงหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เราจะไปลองนั่งรถราง

จริงๆการเดินทางในฮ่องกงมีหลายวิธีมากๆ แต่อีกหนึ่งวิธีที่เราอยากชวนมาลองกันเมื่อได้มาฮ่องกง นั่นก็คือ การนั่งรถราง หรือ Tram รถรางของฮ่องกงให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 และยังให้บริการจนถึงทุกวันนี้ สำหรับฮ่องกงเราว่า รถรางอาจจะไม่ใช่แค่ยานพาหนะที่จะพาเราไปสู่จุดหมาย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเกาะฮ่องกงอีกด้วย

รถรางของฮ่องกงจะให้บริการอยู่เฉพาะบนเกาะฮ่องกงเท่านั้น อธิบายง่ายๆว่า นักท่องเที่ยวแบบเราถ้าไปย่าน Sheung Wan, Admiralty, Central, Wanchai, Causeway Bay ก็สามารถจะลองนั่งรถรางดูสักครั้งได้ค่ะ

📍วิธีการเดินทางด้วยรถรางฮ่องกง
01 ขึ้นประตูหลัง ลงประตูหน้า
02 จ่ายเงินด้วยเงินสด (แบบพอดี) และบัตร octopus ด้านหน้าตอนจะลง
03 ราคา (ประมาณ) 2-3 HKD
05 รถรางมี 2 ชั้นเลือกนั่งได้ตามสบาย

Cupping Room

กาแฟแก้วแรกของวันนี้เรายกให้ที่นี่เลยค่ะ Cupping Room สาขา Central อยู่ในตึกทำเลหัวมุมของถนนในย่าน Central ทำให้บรรยากาศนอกร้านก็ดูเท่ๆสไตล์ฮ่องกง ภายในร้านแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นโซนสั่งเครื่องดื่ม และมีมุมให้เรานั่งได้ไม่เยอะนัก ส่วนชั้นบนพื้นที่กว้างกว่า มีโต๊ะเก้าอี้ให้สำหรับคนที่นั่งดื่มกาแฟที่นานกว่า หรือจะนั่งทำงานก็เหมาะเลยนะ

กาแฟที่นี่สมคำล่ำลือ ใครเป็นสายกาแฟหนีเที่ยวฮ่องกงทริปหน้าอย่าลืมแวะไปเช็คอินกันนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -17.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-18.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central ทางออก D1 หรือ D2

Miam Bakery

ไหนๆก็มาโซน Central Hongkong แล้ว เราเลยถือโอกาสนี้มาตามหาร้านขนมปังที่โด่งดังในไอจีของฮ่องกงซะหน่อย ร้านนี้มีชื่อว่า Miam Baker ร้านนี้ดังมากเรื่องขนมปังและเบเกอรี่ โดยแต่ละวันจะมีเมนูไม่ซ้ำกัน ความพิเศษของร้านคือเราสามารถมองเห็นครัวที่อบขนมอีกด้วย ร้านนี้ไม่มีที่นั่งนะคะ เป็น take away เท่านั้น

ใครไปย่าน Central แล้วอยากไปลองกินขนมปังของร้านนี้สักหน่อยเราก็แนะนำมากเลยค่ะ และอีกอย่างที่ถูกใจคนชอบถ่ายรูป คือมุมหน้าร้านนี้น่ารักมากเลยค่ะ

เปิด : 8.00-18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์และอังคาร

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Sai Ying Pun

(ให้เดินทางด้วยรถเมล์ หรือ รถรางจะสะดวกสุด แต่เดินไกลหน่อยนะ)

Monster Mansion

Monster Mansion ตึกที่ปรากฏในภาพยนต์เรื่อง Transformer จริงๆตึกนี้ชื่อว่า Yick Fat Building (เลขที่ 1048 King road) เป็นตึกที่คนฮ่องกงอาศัยอยู่จริงๆ และเป็นจุดเช็คอินที่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลกันมาเช็คอินตลอด

ข้อควรระวัง : ด้วยตึกนี้เป็นตึกที่ประชาชนชาวฮ่องกง อาศัยอยู่จริง หากเราจะมาถ่ายรูป หรืออยากมาเช็คอิน ก็ไม่ควรที่จะส่งเสียงหรือทำอะไรรบกวนผู้อยู่อาศัยนะคะ

ส่วนใครที่เป็นแฟนคลับกาแฟ % มาถ่ายรูปที่นี่แล้วจะแวะกินกาแฟหน่อย ในบริเวณเดียวกันก็มี % Arabica Coffee สาขา Monster Mansion ให้เราได้กินกาแฟอร่อยๆด้วย

📍วิธีเดินทาง : MTR สถานี Tai Koo ทางออก B เดินต่ออีกนิดหาไม่ยากค่ะ

Hong Kong Museum of Art

ทริปนี้เราไม่ได้ไปช็อปปิ้งเลย เพราะมัวเอาเวลาไปเดินเล่น เช็คอินคาเฟ่ เข้ามิวเซียมแทน สงสัยจะเริ่มแก่แล้วล่ะมั้ง

หนึ่งในมิวเซียมที่เราอยากมามากในทริปนี้ก็คือ Hong Kong Museum of Art ความดีงามของที่นี่คือ เดินเพลิน มุมถ่ายรูปสวย มีจุดให้นั่งมองวิวอ่าววิกตอเรีย และที่สำคัญเข้าฟรี

พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง หรือ HKMoA ภายในเป็นมิวเซียมที่มีคอลเลคชั่นงานศิลปะมากกว่า 17,000 รายการ โดยศิลปะต่างๆนั้นมีความหลากหลายมากกก มีตั้งแต่ภาพวาด ข้าวของเครื่องใช้โบราณ ศิลปะงานร่วมสมัย และอีกเยอะเลย

ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในฮ่องกงที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองไปมากกก แนะนำว่าควรมีเวลามากกว่า 2 ชั่วโมงเพราะเดินเพลินมากเวลาหมดไปแบบไม่รู้ตัว นอกจากศิลปะที่มีให้เราชมเยอะมากแล้ว มุมนั่งเล่นมองเห็นอ่าวที่นี่ก็ดีมาก ถ่ายรูปสวยด้วยนะ ใครหาที่นั่งเพลินๆปล่อยใจ หรือจะหามุมถ่ายรูปเก๋ๆ ต้องห้ามพลาด

ค่าเข้า : ฟรี

เปิด : 10.00-18.00 น. วันเสาร์และอาทิตย์ 10.00-19.00 น. หยุดทุกวันพฤหัส

วิธีเดินทาง : สถานีรถไฟใต้ดิน Tsim Sha Tsui ทางออก Exit L6

% Arabica Hong Kong Star Ferry

% Arabica Hong Kong Star Ferry ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ Star Ferry ย่าน จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) อย่างที่เรารู้จักกันว่า % Arabica เป็นแบรนด์กาแฟที่รสชาติมาตรฐาน ทุกสาขาอร่อยเหมือนกัน แต่ความแตกต่างที่ทำให้แฟนคลับแบบเราตามไปเช็คอินทุกสาขานั่นก็คือ ตัวร้านของแต่ละสาขาตกแต่งออกมาได้สวยมาก มีความน้อยแต่มากตามสไตล์ของแบรนด์

บรรยากาศของสาขานี้ให้ความรู้สึกสบายๆ มีมุมให้นั่งไม่มากนัก และมีโต๊ะอยู่หน้าร้านอยู่ 2-3 โต๊ะที่เป็นรูปแบบของ Coffee Stand แต่กลับกลายว่ามุมนี้เป็นเอกลักษณ์ของสาขานี้ที่ถ่ายรูปออกมาสวยมากค่ะ

เรามาสาขานี้ช่วงเย็นๆทำให้คนไม่เยอะ ถ่ายรูปสบายๆ

เปิด : 9.00 -19.00 น.

การเดินทาง : นั่ง MTR มาลงสถานี Tsim Sha Tsui ทางออก L6 แล้วเดินไปที่ท่าเรือ Star Ferry ร้านอยู่ชั้น 2 (เดินตาม google mpas มาได้เลยค่ะ)

Victoria Harbour

อ่าววิคตอเรีย  จัดเป็นวิวอ่าวที่สวยติดอันดับโลก ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวที่มาฮ่องกง ต้องมา วันนี้ไหนๆเราก็มาโซนนี้แล้ว เลยเดินมาถ่ายรูปเล่นต่อ ช่วงเย็นมุมนี้สวยเลยนะคะ น่าแปลกเพราะว่าตรงนี้มีคนเยอะ แต่บรรยายกลับเหงาจับใจซะงั้น

ใครมาฮ่องกงต้องมาเช็คอินที่นี่เลยน้า สายถ่ายรูปสตรีทน่าจะชอบด้วยนะ

เปิด : ตลอดเวลา

การเดินทาง : สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก L6 หรือ สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก E

Day3

  • GOODIN’ OUT Coffee
  • Hong Kong Disneyland
  • Hung Hom Kwun Yum Temple
  • Mak’s Noodle

วันที่สามของทริปเราจะไปดิสนีย์แลนด์กันค่ะ แต่วันนี้เราเริ่มวันเร็วหน่อย อยากจะไปหากาแฟอร่อยๆ ในคาเฟ่ที่อยากไป ก่อนจะไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์

GOODIN’ OUT Coffee

Goodin’ Out Coffee คาเฟ่ที่พึ่งเปิดใหม่ย่าน Tai Kok Tsui เรารู้จักร้านนี้ผ่านไอจีที่บล็อกเกอร์ชาวฮ่องกงเช็คอินเอาไว้

ตัวร้านเป็นสีขาวคลีนๆ อยู่ใกล้ย่านออฟฟิศของฮ่องกง ด้วยเรามาตอนเช้าตั้งแต่ร้านเปิด บรรยากาศของร้านเป็นแบบสบายๆ เราชอบมุมหน้าร้านริมถนนที่สามารถนั่งมองมนุษย์ออฟฟิศฮ่องกง เดินทางไปเข้างานกันไม่ขาดสาย

ร้านมีเมนูทั้งเครื่องดื่มและขนม เราสั่ง อเมริกาโน่ รสชาติดีมากทีเดียวค่ะ ใครอยู่ใกล้ย่านนี้แนะนำลองมาเช็คอินกันดูนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -19.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00น.

Hong Kong Disneyland

ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ถือว่าเป็นดิสนีย์แลนด์ที่ขนาดเล็กที่สุดในโลก เราสามารถเที่ยวได้ครบภายใน 1 วัน

ความน่ารักของดิสนีย์แลนด์เริ่มต้นตั้งแต่รถไฟที่เราจะเดินทางเข้าดิสนีย์ เราแนะนำว่าใครจะไปดิสนีย์แลนด์ให้เลือกไปวันธรรมดา และไปตั้งแต่ช่วงที่เริ่มเปิดเลย เพราะว่าคิวเครื่องเล่นแต่ละอย่างจะไม่เยอะ ไม่ต้องรอนาน เราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าไปเลย เมื่อไปถึงก็แค่สแกนคิวอาร์โค้ดแล้วเข้าในสวนสนุกได้เลย

เรากับเพื่อน คือ เด็กน้อยในร่างคนวัย 30 ที่สนุกกับวิ่งไปต่อแถวเครื่องเล่น เน้นสนุก ไม่เน้นเหมาะสม 5555 ใครหนีเที่ยวฮ่องกง เราแนะนำเลยค่ะ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ สนุกมากก ถ่ายรูปสวย เป็นหนึ่งวันที่คุ้มมากสำหรับทริปหนีเที่ยวฮ่องกง

สรุปข้อแนะนำ

  • แนะนำเลือกไปวันธรรมดาเพราะคนจะน้อยกว่าวันหยุดเยอะเลย
  • ซื้อตั๋วเข้าพาร์คไปล่วงหน้าเลย ไปถึงก็แค่สแกน ถ้าเข้าวันธรรมดา ตั๋วจะถูกกว่าวันหยุดประมาณ 300 บาท
  • พาร์คเปิด 10.30 น. แนะนำให้มาถึงดิสนีย์ประมาณ 10 โมง เราจะเป็นกลุ่มแรกๆที่เข้าพาร์ค คิวเครื่องเล่นคนจะน้อย

เปิด : 10.30 – 20.45 น.

การเดินทาง :  MTR มาลงที่สถานี Hong Kong Disneyland Resort

Hung Hom Kwun Yum Temple

ไปฮ่องกง ไม่ไปมูก็เหมือนไปไม่ถึง ทริปนี้เราไปมูมาแค่ 2 ที่เท่านั้น เลือกเน้นๆ (เน้นเงิน 55555)

Hung Hom Kwun Yum Temple (วัดเจ้าแม่กวนอิมฮ่องฮำ) ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวัดที่มีความเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในฮ่องกง ที่ตั้งอยู่ในย่านฮ่องฮำ (Hung Hom) ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1873

วัดที่เราจะสามารถยืมเงินเจ้าแม่กวนอิมได้ วัดนี้เน้นๆเรื่องเงินเท่านั้นในการขอ หากเราได้ตามคำขอแล้วก็ขอแค่กลับมาขอบคุณเจ้าแม่กวนอิมอีกครั้งเท่านั้นเอง สำหรับใครที่กลัวว่าเราจะไหว้ถูกมั้ย หายห่วงได้เลยค่ะ ที่วัดมีเจ้าหน้าที่พูดภาษาไทยได้ และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือดีมากค่ะ

เปิด : 8.00 – 17.45 น.

การเดินทาง : MTR สถานี Hung Hom ทางออก B1

Mak’s Noodle

เราขอปิดทริปวันนี้ด้วยการไปตามหาบะหมี่เกี๊ยวกุ้งของโปรด

Mak’s Noodle หนึ่งในร้านบะหมี่ระดับตำนานที่ดีที่สุดในฮ่องกง เปิดครั้งแรกเมื่อปี 1920 บนจีนแผ่นดินใหญ่ โดย Mak Woon Chi ซึ่ง Mak’s Noodle มีหลายสาขา วันนี้เรามาที่สาขา Central (เพราะเพื่อนเราอยากมาสาขานี้เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าศิลปินที่นางเป็นติ่งนั้นมาสาขานี้)

 เราสั่งบะหมี่เกี๊ยว ( Signature Wonton Noodles ) โดยเมนูนี้จะเสิร์ฟมาในชามขนาดไม่ใหญ่นัก อัดแน่นมาด้วยบะหมี่ที่กินยังไงก็อิ่มมมมมม พร้อมกับเกี๊ยวกุ้งลูกไม่ใหญ่นัก สำหรับเรารสชาติของบะหมี่เกี๊ยวกุ้งที่นี่อร่อยเลยค่ะ ทุกอย่างลงตัวกำลังดี

ใครจะมาสาขา Central อยากจะบอกว่า ร้านอยู่ติดกับคาเฟ่ Cupping Room มาทีเดียวเก็บได้ 2 ร้านเลยนะ

เปิด : 10.30 -20.00 น.

การเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central ทางออก D1 หรือ D2

Day 4

  • Halfway Coffee
  • M+
  • Che Kung temple

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริป เราจะกลับไทยเที่ยวบินช่วงเย็นๆ ทำให้เรายังพอมีเวลาให้ตะลอนเก็บที่เที่ยวอยู่

Halfway Coffee

ตัวร้านอยู่ในย่านอุปกรณ์ช่าง เดินเข้าซอยมาเรื่อยๆก็จะเจอ ตัวร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายมีความเป็นจีนแบบเดิมๆมาผสมกับความเข้มขรึมของร้านอย่างลงตัว

เราไปช่วงเช้าทำให้ในร้านยังไม่มีลูกค้าคนอื่น ทำให้เราสามารถเดินสำรวจร้านได้จนทั่ว ตัวร้านมองจากภายนอกเหมือนจะมีขนาดแค่คูหาเดียว แต่เมื่อลองเดินไปทั่วๆ ถึงได้รู้ว่าางร้านจัดมุมเพื่อให้มีสเปซที่เยอะมาก

เราสั่งกาแฟ และ ชาเขียวใส่แก้วทานที่ร้าน เครื่องดื่มของเราก็จะเสิร์ฟมาในแก้วที่มองไกลๆก็ยังรู้ว่ามีความจีนผสมอยู่ในนั้น รสชาติเครื่องดื่มอร่อยมากทีเดียวค่ะ

เปิด : 8.00 -18.00 น.

วิธีเดินทาง : เราแนะนำให้นั่งรถเมล์จะเดินไม่ไกล

M+

M+ (เอ็มพลัส) ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่ของฮ่องกงที่พึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2021 โดยที่นี่คือหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยด้านศิลปวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดของโลก โดย M+ เป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่สำคัญของ The West Kowloon Cultural District Authority (WKCDA) ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลเพื่อสร้าง “เขตวัฒนธรรมฮ่องกง” (Cultural District)

ที่นี่เหมาะสำหรับคนชอบศิลปะ ชอบการเดินเล่นมิวเซียม หากมีทริปหนีเที่ยวไปฮ่องกง เราอยากแนะนำให้ไปที่นี่มากกก เพราะภายในมีงานจัดแสดงเยอะมาก พื้นที่อาคารภายในสวยงาม มีความมินิมอล มุมถ่ายรูปก็ดีมาก และแอบกระซิบว่าใครจะไปเดินเล่นที่นี่ควรมีเวลาอย่างน้อยครึ่งวันถึงจะคุ้มค่า แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วล่วงหน้าไปก่อนนะคะ เราจองผ่าน KKday


เปิด : อังคาร – พฤหัส 10.00-18.00 น. // วันเสาร์และอาทิตย์ 10.00-18.00 น. // วันศุกร์ 10.00-22.00 น. หยุดทุกวันจันทร์
ค่าเข้า : 120 HKD
วิธีเดินทาง : MTR สถานี Kowloon ทางออก E4 หรือ E5 จากนั้นเดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ

Che Kung temple

วัดแชกงหมิวหรือวัดกังหันที่คนไทยรู้จักกันดี วัดนี้ถือว่าดังมากในหมู่นักท่องเที่ยวไทย และแน่นอนค่ะ ทริปนี้เราบอกแล้วว่าเราไปแค่ 2 วัดแบบเน้นๆ (เน้นเงิน)

Che Kung temple หรือ วัดกังหันลม เป็นวัดที่ประชาชนคนจีนให้ความศรัทธาเลื่อมใสมาอย่างยาวนาน ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ 300 ปีที่แล้ว เพื่อระลึกถึง นักรบเอก “แช กง” ซึ่งเป็นนักรบในราชวงศ์ซ่งผู้มีฝีมือเก่งกาจในการต่อสู้และออกรบ

สำหรับใครที่จะมามูที่วัดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไหว้ไม่ถูก เพราะว่าเจ้าหน้าที่วัดพูดไทยได้ มีวิธีการไหว้เป็นภาษาไทยอธิบายอย่างชัดเจน และวัดนี้เราไปมาหลายครั้งแล้ว ขออะไรก็ได้เกือบทุกครั้งโดยเฉพาะเรื่องเงิน

เปิด : 07.00 – 18.00 น.

วิธีการเดินทาง : MTR สถานี Che Kung Temple (สายสีน้ำตาล) ทางออก B เดินตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆ

Bye Bye Hong Kong

ทริปนี้ได้กลับมาเที่ยวฮ่องกงในรอบ 5 ปี เป็นทริปที่สนุกมากกก ตอนแรกเราตั้งใจว่าเป็นทริปเที่ยวชิลๆ สบายๆ แต่ไปๆมาๆ เรากลับตามล่าที่เช็คอินมาทั้ง 17 จุดเช็คอินในเวลา 4 วัน 3 คืน สำหรับเราฮ่องกงเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย มีเวลาน้อยก็เที่ยวได้ หากช่วงไหนมีโปรตั๋วเครื่องบินราคาดีๆ ที่พักราคาน่ารัก ฮ่องกงก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่แนะนำนะคะ

คาเฟ่ฮ่องกงน่าเช็คอิน อัพเดท 2023

ทริปหนีเที่ยวฮ่องกงที่ผ่านมาของเรา (เมื่อเดือนกุมภาพันธ์2023) เป็นทริปที่เรากลับไปฮ่องกงในรอบ 5 ปี ทริปนี้เราหนีเที่ยวทั้งหมด 4 วัน 3 คืน ทำให้เรามีเวลาที่ละเลียดละไมแวะทักทายคาเฟ่ในฮ่องกงในทุกๆเช้า

รีวิวนี้เลยถือโอกาสมาอัพเดทคาเฟ่ในฮ่องกงกันหน่อย อาจจะไม่ได้เยอะมากนัก แต่เอาไว้เป็นไกด์สำหรับสายคาเฟ่ที่กำลังจะหนีเที่ยวฮ่องกงแล้วกันนะคะ

% Arabica Hong Kong Star Ferry

หากใครติดตามบันทึกนักหนีเที่ยวมานาน ก็น่าจะพอรู้ว่าลิเดียเป็นแฟนคลับของกาแฟ % หรือ % Arabica Coffee และเมื่อมาฮ่องกงแล้วจะไม่แวะมาสั่งกาแฟสักแก้วก็เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเรา (ฮ่าๆ)

สาขาแรกที่เราจะชวนไปเช็คอินกันก็คือสาขา  % Arabica Hong Kong Star Ferry

% Arabica Hong Kong Star Ferry ตั้งอยู่บริเวณท่าเรือ Star Ferry ย่าน จิมซาจุ่ย (Tsim Sha Tsui) อย่างที่เรารู้จักกันว่า % Arabica เป็นแบรนด์กาแฟที่รสชาติมาตรฐาน ทุกสาขาอร่อยเหมือนกัน แต่ความแตกต่างที่ทำให้แฟนคลับแบบเราตามไปเช็คอินทุกสาขานั่นก็คือ ตัวร้านของแต่ละสาขาตกแต่งออกมาได้สวยมาก มีความน้อยแต่มากตามสไตล์ของแบรนด์

บรรยากาศของสาขานี้ให้ความรู้สึกสบายๆ มีมุมให้นั่งไม่มากนัก และมีโต๊ะอยู่หน้าร้านอยู่ 2-3 โต๊ะที่เป็นรูปแบบของ Coffee Stand แต่กลับกลายว่ามุมนี้เป็นเอกลักษณ์ของสาขานี้ที่ถ่ายรูปออกมาสวยมากค่ะ

เรามาสาขานี้ช่วงเย็นๆทำให้คนไม่เยอะ ถ่ายรูปสบายๆ

 % Arabica Hong Kong Star Ferry

เปิด : 9.00 -19.00 น.

การเดินทาง : นั่ง MTR มาลงสถานี Tsim Sha Tsui ทางออก L6 แล้วเดินไปที่ท่าเรือ Star Ferry ร้านอยู่ชั้น 2 (เดินตาม google mpas มาได้เลยค่ะ)

% Arabica Victoria Dockside

อีกหนึ่งสาขาที่อยู่ไม่ไกลจากสาขา  % Arabica Hong Kong Star Ferry ส่วนสาขานี้อยู่ในโลเคชั่นจุดเช็คอินยอดฮิตของคนมาฮ่องกง ที่นั่นคือ Avenue of Stars

% Arabica Victoria Dockside สาขานี้อยู่ริมอ่าววิกตอเรีย โดยความพิเศษที่นี่ได้ Rem Koolhaas สถาปนิกนักคิดและนักปฏิบัติ ผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบมามากกว่า 40 ปี เป็นคนออกแบบ

สาขานี้เป็นสาขาที่เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม แล้วไปหามุมเหมาะๆริมอ่าว ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มและบรรยากาศของฮ่องกง ใครมาเที่ยวฮ่องกง และมาเช็คอินที่ Avenue of Stars อย่าลืมแวะมา % Arabica นะคะ

% Arabica Victoria Dockside

เปิด : 10.00 -19.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Tsim Sha Tsui ทางออก E หรือ สถานี East Tsim Sha Tsui ทางออก J1 หรือ J2

Cupping Room

อีกหนึ่งคาเฟ่ที่เราได้ลิสท์มาว่าเมื่อไปฮ่องกงต้องไปลองเช็คอินคาเฟ่แห่งนี้ให้ได้ และจริงๆแล้ว Cupping Room ก็มีอยู่แล้วหลายสาขา แต่สาขาที่เราไปคือ Central

Cupping Room สาขา Central อยู่ในตึกทำเลหัวมุมของถนนในย่าน Central ทำให้บรรยากาศนอกร้านก็ดูเท่ๆสไตล์ฮ่องกง ภายในร้านแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นโซนสั่งเครื่องดื่ม และมีมุมให้เรานั่งได้ไม่เยอะนัก ส่วนชั้นบนพื้นที่กว้างกว่า มีโต๊ะเก้าอี้ให้สำหรับคนที่นั่งดื่มกาแฟที่นานกว่า หรือจะนั่งทำงานก็เหมาะเลยนะ

กาแฟที่นี่สมคำล่ำลือ ใครเป็นสายกาแฟหนีเที่ยวฮ่องกงทริปหน้าอย่าลืมแวะไปเช็คอินกันนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -17.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-18.00 น.

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Central ทางออก D1 หรือ D2

GOODIN’ OUT Coffee

Goodin’ Out Coffee คาเฟ่ที่พึ่งเปิดใหม่ย่าน Tai Kok Tsui เรารู้จักร้านนี้ผ่านไอจีที่บล็อกเกอร์ชาวฮ่องกงเช็คอินเอาไว้

ตัวร้านเป็นสีขาวคลีนๆ อยู่ใกล้ย่านออฟฟิศของฮ่องกง ด้วยเรามาตอนเช้าตั้งแต่ร้านเปิด บรรยากาศของร้านเป็นแบบสบายๆ เราชอบมุมหน้าร้านริมถนนที่สามารถนั่งมองมนุษย์ออฟฟิศฮ่องกง เดินทางไปเข้างานกันไม่ขาดสาย

ร้านมีเมนูทั้งเครื่องดื่มและขนม เราสั่ง อเมริกาโน่ รสชาติดีมากทีเดียวค่ะ ใครอยู่ใกล้ย่านนี้แนะนำลองมาเช็คอินกันดูนะคะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.00 -19.00 น. และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00น.

Halfway Coffee

ตัวร้านอยู่ในย่านอุปกรณ์ช่าง เดินเข้าซอยมาเรื่อยๆก็จะเจอ ตัวร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายมีความเป็นจีนแบบเดิมๆมาผสมกับความเข้มขรึมของร้านอย่างลงตัว

เราไปช่วงเช้าทำให้ในร้านยังไม่มีลูกค้าคนอื่น ทำให้เราสามารถเดินสำรวจร้านได้จนทั่ว ตัวร้านมองจากภายนอกเหมือนจะมีขนาดแค่คูหาเดียว แต่เมื่อลองเดินไปทั่วๆ ถึงได้รู้ว่าางร้านจัดมุมเพื่อให้มีสเปซที่เยอะมาก

เราสั่งกาแฟ และ ชาเขียวใส่แก้วทานที่ร้าน เครื่องดื่มของเราก็จะเสิร์ฟมาในแก้วที่มองไกลๆก็ยังรู้ว่ามีความจีนผสมอยู่ในนั้น รสชาติเครื่องดื่มอร่อยมากทีเดียวค่ะ

เปิด : 8.00 -18.00 น.

วิธีเดินทาง : เราแนะนำให้นั่งรถเมล์จะเดินไม่ไกล

Miam Bakery

ขอแถมจากคาเฟ่ที่น่าไปเช็คอินแล้ว ทริปนี้เราอยากจะแนะนำร้านขนมปังที่น่ารักและน่ากินมากๆอีกสักร้านหนึ่ง

ร้านนี้อยู่ในย่าน Central ร้านนี้เด่นมากเรื่องขนมปังและเบเกอรี่ โดยแต่ละวันจะมีเมนูไม่ซ้ำกัน ความพิเศษของร้านคือเราสามารถมองเห็นครัวที่อบขนมอีกด้วย ร้านนี้ไม่มีที่นั่งนะคะ เป็น take away เท่านั้น

ใครไปย่าน Central แล้วอยากไปลองกินขนมปังของร้านนี้สักหน่อยเราก็แนะนำมากเลยค่ะ และอีกอย่างที่ถูกใจคนชอบถ่ายรูป คือมุมหน้าร้านนี้น่ารักมากเลยค่ะ

เปิด : 8.00-18.00 น. หยุดทุกวันจันทร์และอังคาร

วิธีเดินทาง : นั่ง MTR มาลงที่สถานี Sai Ying Pun

(ให้เดินทางด้วยรถเมล์ หรือ รถรางจะสะดวกสุด แต่เดินไกลหน่อยนะ)

 % Hong Kong Monster Mansion

ขอแถมอีกหนึ่งร้าน เพราะร้านนี้เราแค่ผ่านไปไม่ได้แวะสั่งเครื่องดื่มหรือขนม แต่เอามาฝากสำหรับใครที่จะไปถ่ายรูปที่ตึกทรานฟอร์เมอร์ก็จะสามารถเจอสาขานี้ได้

แน่นอนว่า % Arabica Coffee รสชาติถือว่ามาตรฐานทุกสาขา แต่ความน่าสนใจคือร้านของแต่ละสาขาจะมีเอกลักษณ์จนทำให้แฟนคลับ (อย่างเรา) ต้องไปตามเช็คอินอยู่เรื่อยๆ

สาขานี้ตั้งอยู่นบริเวณเดียวกับตึกที่เป็นจุดเช็คอินดังของฮ่องกงที่ปรากฎในภาพยนต์เรื่อง Transformer ซึ่งตึกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวฮ่องกงจริงๆของชาวฮ่องกงที่มีชื่อว่า Montane Mansion หรือ Yick Fat Building นั้นเองค่ะ

เปิด : จันทร์ – ศุกร์ 8.30-19.00 น และ เสาร์ – อาทิตย์ 9.00-19.00 น.

The Cavalli Casa Resort | หนีเที่ยวไปนอนอยุธยา

ทริปนี้เราชวนหนีเที่ยวไปนอนชิลๆกันที่อยุธยา แม้เราจะเคยไปอยุธยามาหลายครั้งแล้ว แต่ทริปนี้จะเป็นครั้งแรกที่เราจะไปนอนค้างคืนที่อยุธยา และทริปนี้เราตกลงปรงใจไปนอนชิลๆกันที่ The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort หรือ เดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท เป็นที่พักขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 35 ไร่ ที่มีห้องพัก 120 ห้อง ตัวอาคารแบ่งเป็นอาคาร   A อาคาร B โดยห้องพักจะมีทั้งหมด 5 Room type ได้แก่ Superior , Deluxe ,Grand Superior , Grand Deluxe และ Suite โดยแต่ละ Room type มีการตกแต่งที่ต่างกันด้วยภาพ Canvas สถานที่สำคัญของอยุธยา

นอกจากที่นี่จะเป็นที่พักที่มีห้องให้เลือกพักเยอะมาก The Cavalli Casa Resort ยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากอีกด้วยค่ะ ตัวที่พักตั้งอยู่ในตัวเมืองอยุธยา ห่างจากตลาดน้ำอโยธยา วัดเมหยงคณ์ และสถานีรถไฟอยุธยา ประมาณ 3 กิโลเมตร สามารถเดินทางจากโรงแรมไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ ในจังหวัดอยุธยาได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที

และนอกจากห้องจะมีให้เลือกพักหลากหลาย การเดินทางหนีเที่ยวในเมืองอยุธยายสะดวกแล้ว สิ่งที่เราชอบมากก็เช่นกัน ก็คือที่จอดรถเยอะมาก สามารถจอดได้ประมาณ 500 คัน อลังการมาก ซึ่งเหตุผลข้อนี้อาจจะเพราะที่นี่เขามีห้องประชุมและห้องจัดเลี้ยงทั้งหมด 10 ห้อง รองรับได้มากกว่า 900 ท่าน จะจัดงานประชุม สัมมนา งานแต่ง งานเลี้ยง รวมทั้งอีเว้นใหญ่ๆ ได้สบาย

ทริปนี้เราพักห้อง Suite ห้องกว้างอลังการมากก มุมพักผ่อน มุมทำงาน มีครบ ภายในห้องตกแต่งหรูหราสวยงาม ที่สำคัญเตียงนุ่มมากกกก นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่มเลย ยังไม่พอ ห้องน้ำกว้างมากอีกด้วย มีอ่างให้เราแช่น้ำได้ด้วยนะ

พาไปดูห้องพักของเรากันมาแล้ว เราจะพาทุกคนไปถ่ายรูปสวยๆ กับมุมถ่ายรูปสุดเก๋ภายในโรงแรมกันค่ะ รับรองว่าได้รูปโปรไฟล์ใหม่สวยๆแน่นอนค่ะ

สำหรับเย็นนี้เราไม่ได้ออกไปไหน เลยทานมื้อเย็นกันที่โรงแรมเลยค่ะ ร้านอาหารของโรงแรมบรรยากาศสบายๆ เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว มื้อเย็นเราจัดเต็มเลยค่ะ เพราะว่าหิวมากกก และรสชาติอาหารที่นี่อร่อยมากด้วยน้าาา หรือใครอยากจะดริ๊งค์ก็สามารถสั่งค็อกเทลดีๆมาทานได้นะ อร่อยมากกกเหมือนกัน ใครมาพักที่นี่แนะนำเลยค่ะ

เมื่อคืนเราหลับไปแบบสบายมากกก เพราะที่นอนนุ่มมากกก ได้หลับเต็มอิ่มเลยค่ะ บวกกับท้องอิ่มๆมาด้วย อิอิ

เช้านี้เราเลยจะชวนทุกคนไปเล่นน้ำที่สระว่ายน้ำกันหน่อย สระว่ายน้ำของที่นี่จะอยู่บนชั้น 3 ของห้องอาหาร สระกว้าง น่าเล่นน้ำมากๆเลยค่ะ และสระของที่นี่วิวดีอีกด้วยนะ เป็นวิวมุมสูงที่เราสามารถมองเห็นเส้นทางรถไฟได้เลยค่ะ และใครมาในวันที่อากาศดีมุมสระว่ายน้ำเราสามารถเห็นวิวพระอาทิตย์แบบสวยๆด้วยนะ

(ใครอยากจะถ่ายรูปกับรถไฟเก๋ๆ สามารถสอบถามช่วงเวลาของรถไฟได้จากโรงแรมเลยนะคะ)

นอกจากสระว่ายน้ำที่น่าเล่นมากแล้ว ก็ยังมีฟิตเนสที่มีเครื่องออกกำลังกายครบมาก ได้ใจสายออกกำลังกายแน่นอน

ออกกำลังกายกันเสร็จแล้วเราจะชวนไปทานอาหารเช้ากันค่ะ อาหารเช้าที่นี่เขาจัดเต็มมากก มีเมนูต่างๆให้เราเลือกทานเยอะเลยค่ะ ใครชอบที่พักอาหารเช้าอลังการต้องพักที่นี่เลยนะ

ก่อนจะเช็คเอ้าท์กัน เราอยากจะชวนทุกคนไปเช็คอินคาเฟ่ Peaberry Cafe คาเฟ่น่ารักๆภายในโรงแรมกันค่ะ สายเครื่องดื่ม สายขนมห้ามพลาดเลยนะคะ อีกอย่างมุมถ่ายรูปน่ารักด้วยน้า

ใครกำลังมองหาที่พักนอนสบาย ห้องกว้าง อาหารอร่อย ที่จอดรถกว้างขวาง และยังเดินทางเที่ยวในอยุธยาได้สะดวก เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ The Cavalli Casa Resort

The Cavalli Casa Resort

ที่อยู่ : 139/1-2 Moo 2 Bankao จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

Tel :  065 824 5364

FB : https://www.facebook.com/TheCavalliCasaResort/

Web : https://www.cavallicasaresort.com/

อยุธยา 2 วัน 1 คืน | 11 จุดเช็คอิน

อยุธยาจังหวัดใกล้กรุงเทพที่ไม่ได้มีแค่เมืองเก่า แต่สำหรับเมืองนี้ชิคมาก เป็นปลายทางที่เรามองว่าไปที่เดียวได้ครบตั้งแต่ไหว้พระ เช็คอินคาเฟ่ อาหารอร่อย และยังได้ของฝากกลับบ้านอีกด้วย

ทริปนี้เราขอพาทุกคนหนีเที่ยวอยุธยาผ่าน 11 จุดเช็คอินกันค่ะ

  1. วัดมเหยงคณ์

วัดมเหยงคณ์ ตั้งอยู่ใน ตำบลหันตรา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อครั้งก่อนที่นี่เป็นพระอารามหลวง ปัจจุบันที่นี่มีความน่าสนใจทางด้านประวัติศาสตร์ให้นักท่องเที่ยวและชนรุ่นหลังแบบเรามาเที่ยวชม และที่นี่ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอีกด้วยนะคะ

ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนให้วัดมเหยงคณ์เป็น โบราณสถานของชาติ ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2484 ทำให้วัดมเหยงคณ์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดอยุธยา

สำหรับใครที่หนีเที่ยวจังหวัดอยุธยา อยากมาเที่ยวชมประวัติศาสตร์และโบราณสถาน เราแนะนำให้มาวัดมเหยงคณ์เลยค่ะ นอกจากเราจะได้ชมโบราณสถานแล้ว มุมถ่ายรูปที่นี่ก็สวยมากเลยค่ะ

วัดมเหยงคณ์

ที่ตั้ง : หมู่ 2 ต.หันตรา อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา 13000 

2. วัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ เป็นวัดที่อยู่ใน อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จุดเด่นของที่นี่คือ เศียรพระพุทธรูปที่อยู่ในรากไม้ ทำให้ที่นี่เป็น Unseen ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเมื่อมาไหว้พระที่อยุธยา เพราะเป็นภาพที่งดงามและแปลกตาในเวลาเดียวกัน

ดังนั้นวัดมหาธาตุเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวชมโบราณสถานที่อยุธยาเลยล่ะค่ะ

วัดมหาธาตุ

ที่อยู่ : เชิงสะพานป่าถ่าน ถนนนเรศวร ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เปิดให้เข้าชม : 08.30-16.30 น.

3. วัดใหญ่ชัยมงคล

วัดใหญ่ชัยมงคล อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของจังหวัดอยุธยาสำหรับนักท่องเที่ยวเลยค่ะ เพราะวัดแห่งนี้มี เจดีย์องค์ใหญ่ โบราณสถานต่างๆ สวยงาม  นอกจากนี้ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระนอนที่ วิหารพระพุทธไสยาสน์ และ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทุกคนเคารพนับถือ และไปกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ

ใครหนีเที่ยวมาอยุธยาแล้ว วัดใหญ่ชัยมงคลเป็นอีกวัดที่เราไม่ควรพลาดเลยค่ะ

วัดใหญ่ชัยมงคล

ที่อยู่ : 40/3 หมู่ที่ 3 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

4.Roasi Coffee

Roasi Coffee คาเฟ่ดีไซน์สวย และมีจุดเด่นคือมีมุมหน้าต่างวิวทุ่งนาสุดเก๋ มองยังไงก็เกาหลี เกาใจแน่นอน คาเฟ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในปั้มน้ำมัน ESSO อ.บางปะหัน  ริมถนนสายเอเชียฝั่งขาเข้ากรุงเทพ ห่างจากตัวเมืองอยุธยาประมาณ 20 นาที 

ตัวร้านเป็นอาคาร 2 ชั้น ภายในร้านตกแต่งสวยมากกกก โดยธีมของตกแต่งในร้านจะเปลี่ยนไปตามเทศกาลต่างๆ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงวันวาเลนไทน์ ก็เลยได้มุมดอกกุหลาบสวยๆมาด้วยค่ะ แต่โซนที่เราชอบมากที่สุด ชอบมากถึงขั้นให้คาเฟ่นี้เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่ต้องมาให้ได้เลยค่ะ โซนนี้อยู่บนชั้นสองเป็นมุมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสีเขียวของทุ่งหน้า เป็นมุมที่มองด้วยตาก็ว่าสวยแล้ว ถ่ายรูปออกมายิ่งสวยเข้าไปใหญ่เลยค่ะ

ส่วนเมนูเครื่องดื่มของที่นี่ กาแฟถือว่าดีมากเลยค่ะ มีขนมให้เราเลือกทานเยอะมากด้วยนะ

Roasi Coffee

ที่อยู่ : ปั๊ม Esso ถนนสายเอเชียขาเข้า อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

เปิด : 8.00-19.00 น.

Tel : 065 464 9239

FB : https://www.facebook.com/RoasiCoffee/

5. The Summer Coffee Company (Old Town)

อีกหนึ่งคาเฟ่ที่ถ้ามาอยุธยาไม่มาเช็คอินที่นี่ถือว่าพลาดมาก เพราะนอกจากกาแฟจะดีมาก มุมถ่ายรูปก็ปังมากกกก (เราได้มาเป็นร้อย 555)

The Summer Coffee Company เป็นโรงคั่วที่ขายเมล็ดกาแฟทางออนไลน์อยู่แล้ว ทำให้กาแฟร้านนี้อร่อยแน่นอน ร้านตั้งอยู่ในเมืองตรงกลางซอยตลาดองค์การโทรศัพท์เลยค่ะ หาไม่ยากขับรถตาม google maps มาได้เลย

ตัวร้านออกแบบมาให้แสงธรรมชาติเข้าถึงทุกส่วน ทำให้ภายในร้านบรรยากาศดีมากกก เหมาะกับการนั่งเล่นในวันสบายๆ หรือนั่งทำงานก็ได้ สิ่งที่เราชอบมากคือการใช้สีแบบมินิมอลและสีอิฐตามบรรยากาศเมืองเก่าอยุธยา เมื่อเจอกับแดดแรงๆ ที่นี่เลยกลายเป็นคาเฟ่ที่แสงสวยมาก ถ่ายรูปออกมาคือปังทุกมุม ใครชอบดื่มกาแฟแบบเราต้องหลงรักที่นี่ เพราะเมนูกาแฟมีเยอะมากกกก กาแฟที่นี่คือดีย์ !!

The Summer Coffee Company (Old Town)

ที่อยู่ :   4 90 ถ. ราเมศวร ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด : 8.00-18.00 น.

Tel : 093 353 3883

FB : https://www.facebook.com/summer.coffee.co/

6. Busaba Cafe & Bake Lab

Busaba Cafe & Bake Lab คาเฟ่แนวห้องแล็ป แนวนักทดลอง ความเก๋ของคาเฟ่แห่งนี้คือวิวกระจกที่มองเห็นโบราณสถาน ให้ความเป็นเมืองเก่าอยุธยาแต่มีความชิค ความเก๋ ปะปนเต็มไปหมด

คาเฟ่แห่งนี้แปลงโฉมตึกแถวอายุ 30 ปีให้กลายเป็น ห้องทดลองเบเกอรี่ของ “บุษบา” แน่นอนว่าขนมที่นี่หน้าตาน่ารักและน่าทานมากกก แต่ไม่ใช่แค่ขนมนะที่น่าทาน เพราะเราชอบเมนูกาแฟของที่นี่มากเหมือนกัน ดีงามสุดๆ

และแน่นอนมุมที่ทำให้เราอยากมาคาเฟ่แห่งนี้มากนั้นก็คือออ วิววัดราชบูรณะ ที่มุมนี้คือปังมากก

Busaba Cafe & Bake Lab

ที่อยู่ : 9 25 ซอย ชีกุน ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

เปิด : 9.00-18.00 น.

Tel : 064 040 3353

FB : https://www.facebook.com/busabacafebakelab/

7. TBAR

TBAR คาเฟ่ดีไซน์เก๋ที่เชื้อเชิญให้เราเข้าไปทำความรู้จัก ส่วนตัวเรารู้จักคาเฟ่แห่งนี้ผ่านเพื่อนบนแพล็ตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดีย เราชอบมุมหน้าร้านที่เก๋ ทริปอยุธยาทริปนี้เลยได้โอกาสตามรอยไปเช็คอินกันหน่อย

เมื่อเข้ามาในร้านแล้วทำให้รู้ว่า คาเฟ่แห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าร้านที่เก๋ เพราะภายในก็เก๋มากเช่นกัน การใช้โซนสี เฟอร์นิเจอร์ และบรรยากาศภายในร้าน ทุกอย่างลงตัวกำลังดีไม่มากไม่น้อย เมนูเครื่องดื่มก็ดีมากกก

ใครมาอยุธยาเราไม่อยากให้พลาดที่นี่เลยค่ะ

TBAR

ที่อยู่ : ตำบล ประตูชัย อำเภอ พระนครศรีอยุธยา จังหวัด

เปิด : 10.00-18.00 น. หยุดทุกวันพุธ

Tel : 092 408 4848

FB : https://www.facebook.com/tbar.ayutthaya/?locale=th_TH

8. The Cavalli Casa Resort

ทริปนี้หนีเที่ยวมานอนกันที่ The Cavalli Casa Resort ที่พักบรรยากาศดี อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอยุธยา (ใช้เวลาไปในเมืองอยุธยาประมาณ 15 นาที)

The  Cavalli Casa Resort หรือ เดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท เป็นที่พักขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 35 ไร่ มีห้องพัก 120 ห้อง ตัวอาคารแบ่งเป็นอาคาร   A อาคาร B   นอกจากห้องพักที่นี่จะเยอะแล้ว อยากจะบอกว่าที่จอดรถก็เยอะมากเช่นกัน

ทริปนี้เราพักห้องแบบ SUITE Room ห้องพักขนาดใหญ่ มุมในห้องเยอะมากก ตั้งแต่เตียงคิงซ์ไซส์ มุมโซฟาเบด มุมทำงาน ห้องแต่งตัว และห้องน้ำที่มีพื้นที่กว้างพร้อมกับอ่างสำหรับแช่ตัวด้วย

ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ห้องกว้างนะคะ เพราะว่าสระว่ายน้ำที่นี่ก็ดีมาก มีมุมที่เห็นรถไฟผ่านด้วย (ช่วงเวลาของรถไฟสามารถถามโรงแรมได้เลย) ยังค่ะ ยังไม่หมด ที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมากกก มีห้องอาหารที่เปิดบริการตลอดทั้งวัน มื้อเย็นเราก็เลยฝากท้องที่นี่เลย ส่วนอาหารเช้าก็อร่อยมากกก

ใครสายคาเฟ่ที่นี่ก็มีคาเฟ่นะคะ เครื่องดื่ม และขนมมีให้เลือกทานได้จุใจเลย ใครหนีเที่ยวอยุธยา กำลัมองหาที่พักสวย ห้องใหญ่ พักสบาย อาหารอร่อยทุกมื้อ เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ

The Cavalli Casa Resort

ที่อยู่ : 139/1-2 Moo 2 Bankao จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13000

Tel : 065 824 5364

FB : https://www.facebook.com/TheCavalliCasaResort/?locale=th_TH

Web : https://www.cavallicasaresort.com/suite-room