ทริปนี้เราจะชวนทุกคนไปนั่งรถไฟจีน – ลาวกันค่ะ และทริปหนีเที่ยวลาวในครั้งนี้ของเราเป็นทริปเที่ยวลาวครั้งแรกด้วยนะ แต่รีวิวนี้เราขอพูดถึงการเดินทางด้วยรถไฟจีนลาว ที่มีต้นทางจากหลวงพระบาง – ปลายทางเวียงจันทร์



ปัจจุบันรถไฟจีนลาวที่มีเส้นทางในปัจจุบันจะเริ่มต้นต้นทางที่เวียงจันทร์ และ ปลายทางบ่อเต็น โดยจะมีสถานีระหว่างที่นักท่องเที่ยวอย่างเรามักใช้ในการเดินทาง ก็จะมี 3 เมืองหลักๆ ก็คือ เวียงจันทร์ – วังเวียง – หลวงพระบาง

ขอขอบคุณข้อมูลจากสำนักพัฒนาและส่งเสริมธุรกิจบริการกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกระทรวงพาณิชย์
ก่อนจะเดินทางเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรถไฟจีนลาวกันหน่อย
- นอกจากตอนนี้เส้นทางรถไฟจีนลาวที่เปิดให้เดินทางในลาวแล้ว จะมีสถานีเวียงจันทร์ – วังเวียง – หลวงพระบาง – อุดมไซ – นาเตย – บ่อเต็น
- รถไฟจีนลาว จะมีที่นักให้บริการแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นธุรกิจ , ชั้น1 และ ชั้น2 ราคาค่าตั๋วก็จะต่างกันตามชั้นที่นั่ง
- รถไฟจะมีหลายรอบ (วันละประมาณ 2-3 รอบ) ให้เราเลือกเดินทาง
วิธีจองตั๋วรถไฟจีนลาว
(ทริปนี้เราเดินทางเมื่อช่วงปลายกุมภาพันธ์ ขณะนั้นแอปพลิเคชั่นในการจองตั๋วรถไฟยังใช้ไม่ได้)
- เราสามารถไปจองตั๋วได้ด้วยตัวเอง หรือ จะใช้เอเจนซี่ในการจองก็ได้
แต่ทริปนี้เราใช้บริการของเอเจนซี่นะคะ ในการจองตั๋ว โดยแน่นอนว่าราคาตั๋วจะถูกบวกเพิ่มไปหน่อย แต่มันสะดวกกับเรา เพราะว่าถ้าจะต้องไปจองตั๋วเองเราจะต้องนั่งรถไปยังสถานีรถไฟซึ่งอยู่ไกลจากเมืองพอสมควร ดังนั้นสำหรับเราใช้บริการเอเจนซี่คุ้มกว่ามากๆเลยค่ะ
- ตั๋วสามารถจองได้ล่วงหน้าแค่ 3 วันเท่านั้น
เอเจนซี่ที่รับจองส่วนใหญ่ก็จะรับจองตั๋วล่วงหน้าประมาณ 3 วัน เพราะตั๋วรถไฟจะเปิดให้เราสามารถซื้อได้ล่วงหน้าแค่ 3 วันเท่านั้น
- การจองตั๋วจะต้องใช้พาสปอร์ต
สำหรับใช้ที่จะจองตั๋วและผ่านเอเจนซี่เราจำเป็นต้องถ่ายรูปหน้าพาสปอร์ตให้เอเจนซี่ไปนะคะ แล้วเขาจะสามารถไปทำการจองตั๋วให้เราได้ค่ะ

เราขอเอาข้อมูลเอเจนซี่เราใช้ในการจองตั๋วแปะไว้ให้นะ แต่ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้รู้จักส่วนตัวกับทางเอเจนซี่นะคะ แต่ไม่ได้รับเงินในการโฆษณาใดๆ (แถมจ่ายเงินซื้อตั๋วเองด้วย 5555)
ใครสนใจอยากใช้บริการสามารถติดต่อไปเลยนะคะ


ถึงเวลาออกเดินทาง
ทริปนี้เราเดินทางด้วยรถไฟสถานีต้นทางที่หลวงพระบาง และมีปลายทางที่สถานีเวียงจันทร์ ด้วยทริปนี้ตั้งใจที่จะไปทดลองนั่งรถไฟจีนลาว เพื่อมาเล่าให้ทุกคนฟัง เราเลยเลือกที่จะตั๋วรถชั้น1 (เพราะหลายๆคนน่าจะรีวิวรถไฟชั้น 2 ไปเยอะแล้ว)
ที่สถานีรถไฟภายในลาวจะเปิดให้ผู้โดยสารที่มีตั๋วเท่านั้นสามารถเข้าไปในตัวอาคารได้ และผู้โดยสารที่มีตั๋วที่ว่านั้น จะสามารถเข้าภายในอาคารได้ก่อนเวลาที่รถไฟจะมาแค่ 1 ชม. เท่านั้น และก่อนที่เราจะสามารถเข้าอาคารผู้โดยสารได้ เราจำเป็นจะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสัมภาระที่เข้มงวดพอๆกับสนามบินเลยค่ะ

ภายในอาคารผู้โดยสารกว้างขวางมาก มีห้องน้ำที่ค่อนข้างสะอาดเลยค่ะ และมีจุดบริการน้ำดื่มด้วย แต่ภายในอาคารผู้โดยสารไม่ได้ขายขนมหรือเครื่องดื่มนะคะ ดังนั้นใครที่อยากจะมีอะไรทานระหว่างโดยสารด้วยรถไฟ สามารถเตรียมมาล่วงหน้าได้ หรือจะไปซื้อบนขบวนรถก็ได้ค่ะ






เมื่อใกล้ถึงเวลาทางสถานีจะประกาศให้ผู้โดยสารมาต่อแถวรอตรวจตั๋วอีกครั้งเพื่อที่จะได้ออกไปรอรถไฟที่ชานชลา โดยในตั๋วจะบอกว่าเรานั่งตู้ไหน ก็จะมีบอกว่าตู้ไหนอยู่ที่ชานชลาที่เท่าไหร่ หากไม่แน่ใจเราสามารถถามเจ้าหน้าที่ได้เลยค่ะ



ในที่สุดรถไฟเราก็มาแล้ว มาก่อนเวลาที่จะออกประมาณ 10 นาที เราจองตั๋วชั้น 1 มาทำให้ผู้โดยสารในตู้ที่เรานั่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่ดูเป็นนักธุรกิจมากกว่าแบ็คแพ็คเกอร์
ความดีงามของที่นั่งของชั้น 1
- เบาะที่นั่งจะจัดเป็น 2-2 ที่นั่งกว้าง นั่งสบายมากกก
- ตัวเบาะเอนได้ มีที่วางพักเท้า และมีที่แขวนสัมภาระ
- มีโต๊ะส่วนตัวทุกที่นั่ง เราสามารถวางออกมาทำงาน หรือทานข้าวได้
- มีปลั้กไฟและช่องเสียบ USB ตัวเบาะเอนได้
- มีน้ำดื่มให้บริการ (เราสามารถกดได้)
- มีห้องน้ำสะอาด






ทริปนั่งรถไฟเราเดินทางคนเดียว ตอนจองตั๋วเลยบอกกับเอเจนซี่ว่าถ้าเป็นไปได้ขอเก้าอี้ริมหน้าต่าง เรามันคนชอบดูวิวข้างทางนี่เนอะ
เมื่อรถไฟเคลื่อนเข้ามาในชานชลาก่อนที่ผู้โดยชุดใหม่จะสามารถขึ้นไปบนรถไฟได้ ทางรถไฟจะมีพนักงานกับความสะอาดเข้าไปทำความสะอาดแต่ละโบกี้ก่อน แล้วเจ้าหน้าที่ประจำโบกี้จะบอกให้เราว่าสามารถขึ้นรถไฟได้ตอนไหน
เราจองชั้น 1 ด้วยความอยากรู้ว่า จะสบายมากแค่ไหนกันนะ เมื่อเข้ามาในกระบวนรถแล้ว ที่นั่งของเราอยู่ริมหน้าต่างตามความต้องการ ผู้โดยสารข้างๆเราเป็นคนลาวที่ดูเป็นนักธุรกิจ และความเข้มขรึมของเขา ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำตัวรบกวนเขามากนัก
รถไฟออกจากชานชาลาตามเวลาที่บอกไว้ในตั๋ว จะบอกว่าความตื่นเต้นที่อยากนั่งมองข้างทางค่อยๆหดตัวลง ไม่ใช่เพราะวิวข้างทางไม่สวยหรอกนะ แต่เส้นทางรถไฟสายนี้ (น่าจะ) ใช้วิธีเกาะภูเขาเป็นส่วนใหญ่ เพราะตลอดเส้นทาง เราจะได้เห็นวิวประมาณ 2 นาที สลับความมืดที่รถไฟวิ่งเข้าอุโมงค์อีก 5 นาที สลับไปแบบนี้ตลอดเส้นทาง






การเดินทางจากหลวงพระบาง ปลายทางเวียงจันทร์ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ตลอดระยะทางรถไฟชั้น 1 ที่เราเดินทางบรรยากาศเป็นไปแบบสบายๆ จะมีช่วงที่มีรถเข็นขนมจากตู้สเบียงมาขายของเป็นบางช่วง และด้วยความสบายของเบาะที่นั่ง ทำให้เราหลับไปนานพอสมควร
การเดินทางครั้งนี้ทำเป็นอีกครั้งเราได้ลองนั่งรถไฟในต่างแดน แม้ต่างแดนที่ว่านี้จะอยู่ใกล้ไทยมากๆ และหวังงว่าการเดินทางครั้งหน้าเราจะได้ทดลองนั่งรถไฟที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้อีกครั้ง



วิธีเดินทางจากเมืองหลวงพระบางมายังสถานีรถไฟ
ขอแถมวิธีการเดินทางจากในเมืองหลวงพระบางมายังสถานรถไฟไว้สำหรับคนที่หาข้อมูลหน่อยค่ะ ด้วยสถานีรถไฟหลวงพระบางอยู่ไกลจากตัวเมืองหลวงพระบางใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชม. เห็นจะได้ ดังนั้นการเดินทางมายังสถานีรถไฟแห่งนี้ก็ไม่ได้สะดวกมากนัก
- แนะนำให้ถามโรงแรมที่พักว่ามีรถจอยไปส่งที่สถานีรถไฟมั้ย
- ราคาค่ารถประมาณ 30,000 – 40,000 กีบ (เราลืมตัวเลยเป๊ะๆ)
- รถจะมาวนรับเราตามโรงแรมที่อยู่
- รถจะไปส่งเราในช่วงเวลาที่เราจะสามารถเข้าอาคารผู้โดยสารเท่านั้น (ล่วงหน้าจากเวลาตั๋วรถไฟเราไม่เกิน 2 ชม. เพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางไปยังสถานีรถไฟด้วย)



วิธีเดินทางเข้าเมืองเวียงจันทร์จากสถานีรถไฟ
หากใครที่จะเดินทางเข้าเมืองเวียงจันทร์ เราเอาวิธีการเดินทางแบบราคาถูกมาฝากกันค่ะ
- รถเมล์ปรับอากาศเข้าเมืองเวียงจันทร์ จอดอยู่หนาสถานีและมีคนตะโกนเรียกลูกค้าอยู่หาไม่ยาก ถ้าไม่ชัวร์ให้ถามว่าสถานที่เราจะไป รถเมล์สายนั้นไปมั้ย เพราะจะมีรถเมล์รออยู่ 2 สาย คือเข้าเมือง และไปสนามบิน
- ค่าโดยสาร 15,000 กีบ
- รถสุดสายเวียงจันทร์ได้เลย หรือจะลงประตูไชยก็ได้
- มี QR Cord ให้สแกนเส้นทางรถเมล์ด้วย
- ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.








