เวลาที่มีน้อยไม่ใช่เหตุผลที่จะมาหยุดไม่ให้เราออกเดินทาง
เราเป็นคนที่ค่อนข้างดื้อค่ะ แม้บางอย่างที่ผู้คนมากมายบอกว่าไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าเราเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เราก็จะลองทำมัน แม้ว่ามันอาจจะไม่สำเร็จก็ตาม
ก่อนหน้านี้ Leh Ladakh ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่เราจะเดินทางไปเร็วๆนี้ เพราะเท่าที่รู้มาต้องใช้เวลาหลายวันและเท่าที่รู้มามันเดินทางไม่ง่ายเลย
ทั้งหมดนั้นคือความรู้เกี่ยวกับเลห์ ลาดักที่เรามี
แต่ปีนี้ทริปที่เราจะเดินทางกับแฟน เราต้องเลือกประเทศที่สามารถไปได้ภายในเวลาแค่ 5 วัน หลายคนต้องคิดว่าก็ไปญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง หรือ ไต้หวันสิ 5 วันพอแน่นอน เราก็อยากทำแบบนั้นค่ะ แต่ประเทศที่ว่ามาเราไปกันมาครบแล้ว คราวนี้เลยอยากไปประเทศใหม่ๆดูบ้าง
ในที่สุดเราก็ได้ข้อสรุปว่าเราจะไป เลห์ ลาดัก ไปแบบคนเวลาน้อยนิดนี่แหละ ได้แค่ไหนก็เอาแค่ไหน ดีกว่าไม่กล้าออกเดินทาง เพราะกลัวเที่ยวไม่ครบแบบคนอื่น
เพราะมันอาจจะได้สูตรเที่ยวในแบบฉบับเราก็ได้
เราเลือกเดินทางช่วงหลังสงกรานต์ เพราะด้วยภาระงานของแฟนทำให้ลาติดต่อกันได้แค่ 5 วัน ซึ่งแลกด้วยการอยู่ช่วงสงกรานต์แล้ว ก็ได้สูงสุดแค่ 5 วัน เราเอาข้อมูลที่มีติดต่อเหมารถแท็กซี่ และโชคดีที่เราเจอลัคกี้เป็นคนขับรถ เราเขียนรีวิวลัคกี้แยกเฉพาะไว้แล้วนะคะ กดตามลิงค์ไปได้เลยแล้วเราก็ได้ข้อสรุปแพลนการเดินทางเราตามนี้เลยค่ะ มีเวลาเที่ยวจริงๆแค่ 4 วันเองค่ะ
หากถามใครๆว่าเคยไป Leh Ladakh มั้ย คงมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่จะตอบว่าไปมาแล้ว และหากถามต่อว่า Leh Ladakh มันคืออะไรหรอ เราคงได้หลากหลายคำตอบ ที่ไม่ว่าจะเป็น เมืองที่อยู่สูงคล้ายทิเบต เมืองที่อากาศหนาวของอินเดีย หรือเมืองที่มีทะเลสาบที่มีพื้นหลังคือภูเขาที่สวยมากๆ
แต่ถามมีใครมาถามเราก่อนจะไป เราคงตอบได้แค่ว่า “ไม่รู้จริงๆ” เพราะต้องสารภาพตามตรงเลยค่ะ ว่าก่อนไปเราไม่ได้รู้สึกว่า Leh Ladahk จะต้องเป็นเมืองแบบไหน มันจะสวยแค่ไหน เราหวังแค่ว่าเวลาที่เรามีจำกัด เราจะสามารถใช้มันได้เพียงพอ
Day 0
เราเดินทางจากกรุงเทพ ไปยังสนามบินนานาชาติอินทิรา คานธี (DEL) นิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยสายการบิน Jet Airways การเดินทางครั้งนี้เป็นการใช้บริการสายการบิน Jet Airways ครั้งแรกของเราเลยค่ะ และการเดินทางครั้งนี้ก็จะเป็นการเดินทางไปยังประเทศอินเดียครั้งแรกเหมือนกัน
เรามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลาประมาณ 3 ชม. เพราะเราต้องมาแลกเงินด้วยค่ะ ช่วงที่เราเดินทางเป็นช่วงสงกรานต์ทำให้ร้านแลกเงินเจ้าใหญ่ๆ เงินอินเดียหมด เกือบทุกเจ้าเลยค่ะ ตอนแรกก็คิดว่าจะแลกเงิน US ไปแทนแล้วไปหาแลกที่สนามบินนิวเดลีอีกที แต่ในที่สุดเราก็หาเจอ เจ้าที่มีเงินอินเดียให้เราแลกค่ะ ก็คือ Happy Rich ร้านอยู่ชั้นเดียวกับ Airport rail link ค่ะ ร้านอยู่ในโซนเดียวกับร้านแลกเงินเจ้าอื่นๆค่ะ ซึ่งเราสามารถจองเงินที่จะแลกไว้ก่อนได้ แอดไลน์ happyrich_money ราคาอาจจะแพงกว่าซุปเปอร์ ริช สีเขียวนิดหน่อย แต่ราคาเท่ากับซุปเปอร์ริชสีส้มบางสกุลเงินนะคะ
เราแลกได้เรทราคา 0.485 บาท = 1 รูปี
20.10 น. กำหนดเวลาออกเดินทางโดยสายการบิน Jet Airways
ทุกอย่างเป็นไปตามปกติค่ะ ไม่มีเลท
ก่อนเดินทางไปยังเลห์ ลาดัก มนุษย์พื้นราบแบบเราๆ ควรจะกินยา Diamox ยาสำหรับช่วยปรับร่างกายเมื่อเราจะต้องไปอยู่ในพื้นที่ๆสูงกว่าระดับน้ำทะเลตั้งแต่ประมาณ 3000 เมตร ซึ่งตัวเรานั้นเคยได้ใช้ยาตัวนี้ตอนไปจีนละค่ะ ยืนยันว่ามันสำคัญมาก ทริปนี้เราเลยกินก่อน 1 เม็ด ก่อนเริ่มทริป 1 วัน
ขึ้นมาบนเครื่อง Jet Airways เครื่องขนาดเท่ากับเครื่องในประเทศบ้านเราเลยค่ะ ไม่มีจอส่วนตัวนะคะ (พึ่งรู้ตอนขึ้นมาบนเครื่องเหมือนกัน) มีหมอนและผ้าห่ม และอาหารและเครื่องดื่มบริการฟรีค่ะ
ขึ้นมาบนเครื่องก็สังเกตได้ว่าเรากับแฟนเป็นแค่คนไทยสองคนของเที่ยวบินนี้ ที่เหลืออินเดียหมดเลย และเที่ยวบินนี้ผู้โดยสารน้อย เรากับแฟนนั่งแค่สองคนในแถวอีกเก้าอี้ว่าง สบายยย
และเมื่อถึงเวลาที่กำลังจะ Take off ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นปกติ แต่แล้วจู่ๆเครื่องก็เคลื่อนที่มาจอดนอกรันเวย์ค่ะ ผู้โดยสารคนอื่นๆเริ่มโวยวาย เราถามแอร์ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ความว่ามีปัญหาทางเทคนิคบางอย่างให้รอฟังประกาศจากกัปตันเท่านั้น ใช้เวลากว่า 20 นาที กัปตันถึงจะประกาศว่า เครื่องจะดีเลย์ออกไปประมาณ 1 ชม. เพราะตอนนี้มีปัญหาบางอย่างกับตัวเครื่องและกำลังเร่งแก้ไข
โชคดีที่เราจองเที่ยวบินต่อไปไม่กระชั้นชิด เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินแบบนี้ ตกเครื่องได้ง่ายๆเลยค่ะ
รอไปประมาณ 40 นาที กัปตันก็ประกาศอีกครั้งว่าตอนนี้เครื่องซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมจะพาทุกคนสู่ประเทศอินเดียสักที และกว่าจะได้ Take off ก็อีกประมาณ 20 นาที ก็ยังถือว่าเขาตรงเวลาตามที่แจ้งไว้จริงๆค่ะ
take off มาได้สักระยะก็ถึงเวลาของอาหารบนเครื่องละค่ะ จะมีไก่กับผักให้เลือก ซึ่งเราเลือกมาทั้งสองอย่างเลยค่ะ จะได้ลองว่าแบบไหนดี
และก็ได้รู้ว่า ใครไม่ชอบอาหารฮินดูให้เลือกไก่เท่านั้นนะคะ ผักไม่ไหวววว
จากกรุงเทพ มายังกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียใช้เวลาประมาณ 4 ชม. ครึ่ง หลับหนึ่งตื่นก็มาถึงค่ะ ถือว่าไม่ไกลมาก และเวลาที่อินเดียช้ากว่าไทย 1 ชม 30 นาทีนะ
แล้วในที่สุดเราก็มาถึงสนามบินนานาชาติอินทิรา คานธี (DEL) นิวเดลี ประเทศอินเดีย แล้วววว จริงๆมาถึงช้ากว่าเวลาที่กำหนดไม่เยอะนะคะ ถือว่าทำเวลาได้ดีมากขนาดดีเลย์แล้ว
คุณได้มาถึงสนามบินนานาชาติอินทิรา คานธี นิวเดลี อย่างเป็นทางการ
เมื่อมาถึงแล้วให้เราเดินตามป้าย Immigration หรือป้ายรับกระเป๋ามาเรื่อยๆเลยค่ะ เรามาถึงดึกแล้วในสนามบินคนน้อยมากค่ะ
เมื่อมาถึงส่วนของ Immigration หากใช้ขอวีซ่าแบบ e-visa แบบเราให้เดินตามป้าย e-visa ไปเลยค่ะ อย่าลืมปริ้นใบวีซ่ามาด้วยนะคะ และประเทศอินเดียเข้าต้องกรอกใบขาเข้าด้วยนะคะ แต่เราทำรูปหายไป ไม่ยากค่ะ เตรียมข้อมูลที่พักไว้ด้วยเพราะต้องกรอก ตอนที่เราไปถึงไม่มีคิวเลยค่ะ ตม. ไม่ถามอะไรด้วย ไม่ถึง 5 นาทีก็ผ่านไปรับกระเป๋าได้เลย
ข้อมูลที่ต้องกรอกในใบขาเข้าประเทศอินเดีย
- ชื่อ-นามสกุล
- วัน-เดือน-ปีเกิด
- เลขพาสปอร์ต
- เลขเที่ยวบินที่เดินทางมา
- วันที่เดินทางมาถึงประเทศอินเดีย
- ประเทศที่อยู่หกวันก่อนจะมาอินเดีย : กรอกประเทศไทยนะคะ สำหรับคนที่ไม่ได้ไปไหนมาก่อนหน้านี้
- ที่อยู่ในประเทศอินเดีย : กรอกชื่อที่อยู่ของโรงแรมที่พักในคืนแรก
- เบอร์โทร : กรอกเบอร์โทรของโรงแรมที่จะพักในคืนแรก
- เซ็นชื่อ(ให้เหมือนกับที่เซ็นในพาสปอร์ต)
แถวที่คนเยอะๆคือวีซ่าแบบปกติ
เดินตามป้าย e-visaไปเลยค่ะ
ไปต่อแถวช่องที่เป็น e-visa ได้เลย
เมื่อได้กระเป๋าแล้ว เราก็จะไปหาที่นั่งรอสำหรับคืนนี้กันค่ะ เพราะคืนนี้เราจะไม่ออกไปข้างนอกสนามบินนะ เรามีบินไปเลห์ ตอนตี 5.40 ด้วยสายการบิน Jet Airways เหมือนเดิม จริงๆถ้าคนที่มีเวลาเยอะ ใช้สายการบินอื่นก็ได้นะคะ ถูกกว่า แต่เหตุที่เราจอง Jet Airways ทั้งหมดตลอดการเดินทางเพราะ เรากลัวตอนต่อเครื่องขากลับค่ะ ถ้าเกิดมีเหตุดีเลย์ บินสายการบินเดียวกันมันง่ายกว่าค่ะ และสามารถโหลดกระเป๋าจากเลห์ แล้วไปรับที่กรุงเทพได้เลย
หากใครที่จะรอต่อเครื่องแบบเรา เดินออกมาให้เลี้ยวมาทางขวา เดินมาเรื่อยๆจะเจอป้ายบอกว่าทางเข้าไปสู่โซนสำหรับเที่ยวบินในประเทศนะคะ ตรงนั้นมีที่นั่งพอสมควร และมีนักท่องเที่ยวมารอกันเยอะ แถมมีร้านขายของที่ระลึกที่เปิด 24 ชม. ด้วยค่ะ ไม่เปลี่ยว ปลอดภัยแน่นอน มีการ์ดเดินไปเดินมาตลอดค่ะ หายห่วง
ระหว่างที่เรารอเวลาที่จะไปขึ้นเครื่องเรากินยา Diamox เพิ่มอีก1เม็ดค่ะ เพราะทริปนี้เรามีเวลาน้อย ถ้าแพ้ความสูงขึ้นมาไม่สนุกแน่นอน
ตอนนี้เท่ากับว่าเรากินยา Diamox เช้า 1 เม็ด เย็น 1 เม็ดตั้งแต่ วันแรกที่เดินทางไปถึงอินเดีย
เรานั่งเล่นรออยู่ตรงนี้ประมาณ 2 ชม. ก็ถึงเวลาที่จะสามารถไปเช็คอินได้ (ก่อนบิน 3 ชม.) โดยเราต้องปริ้นใบจองตั๋วเครื่องบินสำหรับเที่ยวที่จะบินมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าดูและต้องมีทุกคนที่เดินทางนะ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้เราเข้ามาด้านในค่ะ ใครบินสายการบิน Jet Airways ให้มองหาลิฟต์อยู่ทางขวามือ แล้วกดขึ้นมาชั้นบน ก็จะถึงเคาน์เตอร์สายการบิน Jet Airways
บิน Jet Airways ภายในประเทศสามารถโหลดกระเป๋าฟรี คนละ 15 kg. นะคะ แต่ของเราเกินมา 3 kg. ก็ไม่เป็นไรนะ
เช็คอินแล้วก็รีบเดินเข้ามาหาเกทเลยค่ะ เพราะด้านในมีร้านอาหารและร้านค้ามีเยอะเลยค่ะ
แมคโดนัลที่นี่ราคาถูกกว่าไทยเยอะเลยค่ะ รสชาติมาตรฐานของแมค (ไม่มีหมูนะ)
แถวบริเวณหน้าเกทมีเก้าอี้ให้นั่งรอเยอะมากค่ะ แถมมีเก้าอี้นอนเยอะด้วยนะ สนามบินถือว่าสบายมากทีเดียวค่ะ
นอนรอไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาสายการบินก็ประกาศเรียกขึ้นเครื่องค่ะ รอบนี้เราเลือกที่นั่งมาตั้งแต่อยู่ไทย จ่ายเพิ่มนิดหน่อย (จำราคาไม่ได้) เพื่อให้ได้นั่งด้านหน้าๆฝั่งซ้ายสำหรับขาไป และฝั่งขวาสำหรับขากลับนะ เพราะจะได้เห็นวิวเทือกเขา หนึ่งวิวสุดสวยของเลห์ ลาดัก
แนะนำเลือกที่นั่งให้จองไม่เกินแถวที่ 3 ซึ่ง แถวที่ 1 ดีที่สุด วิวดีมาก
ขึ้นมาบนเครื่องก็เหมือนเดิมค่ะ ไม่มีจอ ขนาดเครื่องเท่ากับเครื่องที่บินในประเทศบ้านเราค่ะ และเที่ยวบินนี้คนก็ไม่เต็มอีกแล้วค่ะ เรากับแฟนนั่งกันแค่สองคน และยังคงมีอาหารเช้าและเครื่องดื่มบริการเหมือนเดิม
Day 1
และเราก็หลับตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น ก็คนมันง่วงงงง แอร์เอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟ เรายังไม่รับเลยค่ะ เพราะจะนอน ไม่ไหวจริงๆ แต่เราก็ตื่นอย่างรู้เวลานะคะ เราตื่นตอนที่เครื่องกำลังผ่านแนวเทือกเขาสวยๆนั้นล้ะ ทันได้ดูวิว ไม่เสียเงินเลือกที่นั่งมาฟรีแน่นอน
วิวแรกที่เลห์ ลาดัก ทักทายเรา
แค่วิวแรกที่ได้เห็น เลห์ ลาดักก็ทำเราใจเต้นแรงแล้ว ไม่อยากจะคิดว่าทริปนี้เราจะได้เจออะไรบ้างง
โอ้ยยยยยย ตื่นเต้นนนนนนนนนนนนนน
แอร์เห็นเราตื่นแล้ว ก็มาถามใหม่ว่ารับอะไรมั้ย จะกินน้ำสักนิดมั้ย เราเลยขอน้ำส้มมาค่ะ จิบน้ำส้มแล้วชมวิวเทือกเขา สบายจายยยยยยย
เรายังคงนั่งมองวิวจากหน้าต่างเครื่องไปตลอดทาง แค่วิวแรกที่เราได้เห็นก็คุ้มค่าที่เดินทางมา
ผ่านวิวเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมมาแล้ว ก็ยังมีวิวสวยๆรอรับเราอยู่อีก
เรากำลังหลงรักเลห์ ลาดัก ตั้งแต่ที่เท้ายังไม่ถึงพื้นเมืองนี้เลยค่ะ
7.10 น.
และในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงสนามบิน Leh Ladakh ภายนอกตัวอาคารห้ามถ่ายรูปนะคะ แต่ตอนอยู่ในรถ shuttle bus ถ่ายได้นะ
สนามบิน Leh Ladakh เป็นสนามบินเล็กๆค่ะ เข้ามาในอาคารจะมีเจ้าหน้าที่แจกใบขาเข้าให้เรากรอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทางมาเที่ยวเลห์ ระหว่างกรอกก็รอรับกระเป๋าไปด้วย เมื่อกรอกเรียบร้อยก็คืนเจ้าหน้าที่ เดินออกมาจากสนามบินตามหาคนขับรถที่เราติดต่อเอาไว้ตั้งแต่ไทย
ออกมาปุ้บ เราก็เจอคนขับรถที่เราติดต่อไว้ค่ะ
ลัคกี้ คือคนขับรถในเลห์ที่ฮอตที่สุดในหมู่นักท่องเที่ยวคนไทย
ลัคกี้พาเรามาที่รถ เราพูดคุยกันนิดหน่อย แต่เรารู้สึกว่าเราคุยกันอย่างสนิทสนมตั้งแต่เจอกัน อาจเพราะเราคุยกันตั้งแต่อยู่ไทยแล้วก็ได้ ลัคกี้มาส่งเรายังที่พักที่เราจองเอาไว้ แล้วนัดแนะเวลาตอนบ่ายกันเพื่อจะออกไปเที่ยววันแรกรอบๆเลห์กันค่ะ แถมลัคกี้ยังย้ำเราว่า ต้องนอนหลับนะ ห้ามไม่หลับนะ ต้องให้ร่างกายปรับสภาพเพราะตอนนี้มนุษย์พื้นราบขึ้นมาอยู่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3000 กว่าเมตร เรารับปากลัคกี้ว่าจะหลับ เพราะตอนนี้ง่วงมากแล้วค่ะ ถึงไม่มีใครสั่งว่าต้องหลับ ร่างกายเราก็จะหลับให้จนได้แน่นอน
เรามาถึงที่พักประมาณ 8 โมงครึ่ง
มาถึงก็เจอคุณน้าคนไทยก่อนเลยค่ะ เราทักทายด้วยภาษาคนชาติเดียวกัน เราถามคุณน้าว่ามาตั้งแต่วันไหน เที่ยวเป็นไงบ้าง ได้ความว่าคุณน้ามาสิบวันแล้ว วันนี้กำลังจะเดินทางกลับไทย และคุณน้าเล่าถึงอาการแพ้ความสูง ที่คุณน้าเจอกับตัวเอง ก่อนแยกกันคุณน้ากำชับเราว่าให้กินยา Diamox แบบเช้าเม็ด เย็นเม็ดไปเลย เพราะถ้ามีใครแพ้ความสูงขึ้นมาทริปนั้นจะไม่สนุกแน่นอน
เราบอกลาคุณน้า แล้วเดินพาตัวเองที่ง่วงมากขึ้นมาชั้นบนของบ้านที่พัก
Sangto Green Guest House
ที่พักของเราในเลห์ ทำเลอยู่ใกล้กับ Shanti Stupa สามารถมองเห็นไกลๆจากที่พักด้วย ใครจะมาถ่ายดาวตอนกลางคืนแนะนำพักที่นี่ (แต่เราไม่ได้ไป หนาว 555)
เราหาที่พักแห่งนี้จาก agoda มีรีวิวจากคนไทยหลายคนที่เคยมาพัก และด้วยราคาที่คืนละ 700 บาท ซึ่งก่อนจองเราได้ทัก Facebook ไปยังที่พักแห่งนี้ ซึ่งเจ้าของเธอชื่อ สุมิตรา เธอตอบเราเร็วมาก เราคุยกับเธออยู่ 2-3 วัน ก็เลยตกลงจองที่พักของเธอผ่าน agoda
ที่พักแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในตลาดนะคะ แต่เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับคนที่เหมารถเที่ยวเลห์ทุกวันแบบเรา ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะเราสามารถไปตลาดได้ทุกวันอยู่แล้ว และอีกเหตุผลคือ เราชอบวิวหน้าที่พักการได้เห็นเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ มันทำให้เรารู้สึกดีมากจริงๆ
ป้าสุมิตรา เจ้าของที่พักพาเราขึ้นมายังห้องที่เราพัก และกำชับเราว่าต้องนอนหลับนะ จะได้ปรับร่างกาย เรารับปากเธอ และก่อนที่เธอจะไป เธอถามเราว่าจะกินข้าวเที่ยงด้วยมั้ย เธอจะได้ให้พ่อครัวเตรียมเผื่อไว้ เราตอบตกลง ขอให้เธอช่วยเตรียมข้าวเที่ยงเผื่อด้วย เพราะลัคกี้ คนขับรถของเราบอกว่า ให้เรากินข้าวเที่ยงให้เรียบร้อย และจะมารับเราหลังมื้อเที่ยง
มาดูในห้องกันดีกว่าค่ะ
เราจองห้องแบบ 1 เตียงใหญ่ มีห้องน้ำในตัว เปิดเข้ามาในห้อง จะเจอเตียงขนาดใหญ่พร้อมผ้าห่มที่อุ่นมาก ภายในห้องสะอาดมากด้วยนะคะ ราคา 700 บาทต่อคืน สำหรับเราคือคุ้มค่ามาก
ภายในห้องยังมีชุดโต้ะ-โซฟา ทีวี และปลั๊กพ่วง ด้วยนะ แต่ไม่มีไดร์เป่า อ้อ แล้วก็มีผ้าเช็ดตัวให้นะคะ
ในส่วนของห้องน้ำนั้นกว้างและสะอาดมากทีเดียวค่ะ และสิ่งที่ดีที่สุดคือมีน้ำอุ่นนนนนน
หลังจากสำรวจห้องเรียบร้อยแล้ว ก็คงถึงเวลานอนของเราแล้วละค่ะ ง่วงมากตอนนี้ ก่อนนอนเราตั้งนาฬิกาปลุกให้ปลุกประมาณ 11 โมง เพราะจะได้เตรียมตัวลงไปทานข้าวแล้วตอนบ่ายจะได้ออกไปเที่ยว เย้ !
11.00 น.
เราตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก เป็นการหลับไปแบบเต็มอิ่มมากกกกกกกกกกกก เรามองดูนาฬิกาแบบไม่รีบร้อนเพราะตั้งใจจะลงไปข้างล่างตอนเที่ยงละกันจะได้กินข้าวเที่ยงพอดี
12.00 น.
เราเดินลงมายังห้องครัว ที่ไว้สำหรับให้แขกของที่พักทานอาหาร และก็ได้รู้ว่าพ่อครัวพึ่งเริ่มทำกับข้าว ก็ งงๆหน่อย เที่ยงแล้วแต่พึ่งเริ่มทำกับข้าว หรือว่าลืมว่าเราจะลงมากินข้าว โชคดีที่เราเจอป้าสุมิตราพอดี ป้าถามว่าเราต้องการอาหารอะไรพิเศษมั้ย เราตอบแค่ว่าอะไรก็ได้ เพราะหิวแล้ว
ระหว่างที่รอ เราไปถามป้าสุมิตราว่า อินเทอร์เน็ต ใช้งานไม่ได้หรอ ป้าตอบว่าวันนี้มันใช้งานไม่ได้เลย แล้วป้าก็เปิด hotspot ส่วนตัวเพื่อแชร์อินเทอร์เน็ตให้เราใช้ (ป้าน่ารักมาก ณ จุดนี้)
เราไลน์บอกที่บ้านว่ามาถึงเลห์แล้ว แล้วก็อัพรูปอวดเพื่อนๆผ่านไอจีสักหน่อย จากนั้นเลยลุกเอาโทรศัพท์ป้าสุมิตราไปคืน พร้อมกับเดินถ่ายรูปรอบบ้านเล่น อากาศวันนี้ไม่หนาว กำลังสบายเลยค่ะ
รอบๆบ้านตอนนี้กำลังเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับเพาะปลูกหลังฤดูหนาวผ่านไป
วนรอบบ้านแล้วกลับเข้ามาดูที่ห้องนั่งเล่นกันอีกครั้ง เป็นมุมที่เราใช้สำหรับรอคนขับรถในแต่ละวัน
เราเริ่มหิว ก็เลยเดินกลับไปในครัวอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้พ่อครัวก็ยังทำอาหารไม่ถึงไหนเลยค่ะ เราไม่เข้าใจทำไมเขาทำช้าขนาดนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอ
พ่อครัวพูดภาษาอังกฤษได้ไม่เยอะ แต่เขาเข้าใจที่เราพูดนะ เอ้ะ หรือเขาไม่อยากคุยกับเราก็ไม่แน่ใจ
“ตอนหิวนี่เวลาเดินช้าชะมัดเลย”
เราได้แต่โอดครวญออกมาเสียงดังๆ
สุดท้ายต้องเดินเข้าไปในครัวอีกครั้ง และก็พบว่าตอนนี้มื้อเที่ยงยังไม่เสร็จเหมือนเดิม เราเลยขอกาแฟมา 2 แก้วแทน
13.00 น.
เรายังไม่ได้กินมื้อเที่ยง เพราะอาหารยังไม่เสร็จ และเราเริ่มสงสัยว่าทำไมลัคกี้ ถึงยังไม่มาหรือทัก what’s app มานะ แต่ระหว่างนั้นก็ได้แต่สงสัยไปค่ะ เพราะข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน
13.20 น.
เราเดินเข้าไปดูในครัวก็ เหมือนสวรรค์โปรด เพราะตอนนี้กับข้าวสำหรับมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อครัวยกกับข้าวออกมาตั้งไว้ด้านนอก ให้เราจัดการบริการตัวเองเอา ซึ่งตอนแรกเราเข้าใจว่า พ่อครัวทำให้เราอย่างเดียว แต่นั่นป่าวเลยค่ะ เพราะว่าเขาทำหม้อใหญ่มาก คือสำหรับคนงานคนอื่นๆด้วย (ก็ว่าทำไมนานจัง)
มื้อนี้เป็นอาหารฮินดูแบบแท้จริง ซึ่งเราเอาน้ำพริกแห้งมาช่วย ก็กินได้เยอะหน่อยค่ะ แต่มื้อหน้าไม่เอาละนะ
เรากินกันได้ไม่มาก แค่พออิ่ม ก็เริ่มสงสัยว่าลัคกี้จะมารับเรามั้ยเนี่ยยยย จะบ่ายสองแล้วยังติดต่อกันไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้เราไม่มีอินเทอร์เน็ต ที่บ้าน wifi ใช้ไม่ได้ โทรหาก็ไม่ติด (เอาโทรศัพท์บ้านโทรไป)
เราเริ่มร้อนรนละค่ะ ถ้าเรามีเวลาหลายวันก็ไม่เครียดหรอก มาช้าก็ไม่เป็นไร แต่นี่เรามีเวลาน้อยมาก ยังจะต้องมาเสียเวลาอีกหรออออออออออ เห้ออออออออออออ
เราพยามโทรหาลัคกี้แต่ก็ไม่ติด จนต้องเดินเข้าไปในครัว ให้พ่อครัวช่วยเราโทรอีกแรง ซึ่งเขาก็น่ารักนะคะ เอามือถือตัวเองมาช่วยโทร แต่ก็ไม่ติด คราวนี้เราเริ่มหงุดหงิดละค่ะ ถามพ่อครัวว่าป้าสุมิตราอยู่มั้ย ได้ความว่าป้าไปตลาด เพราะเรากะจะให้ป้าช่วยโทรหน่อย น่าจะได้เรื่อง เมื่อเป็นแบบนี้ก็ได้แต่นั่งรอ เพราะมันทำอะไรไม่ได้เลย เราพยามต่อ wifi ของบ้านอีกครั้ง มันขึ้นเหมือนเชื่อมต่อแต่ส่งข้อความไม่ถึง เราเลยส่งข้อความฝากไว้ใน what’s app หวังว่ามันจะถึง
ตื๊ดดดดดดด ตืดดดดดดดดดดดดดดดดดด
” Everything ok ?”
” ไม่โอเคคคคคค ”
“Why ?”
อยู่ๆข้อความเราก็สามารถส่งไปถึงลัคกี้ได้ไง ไม่รู้ ลัคกี้ถามเราว่าเพื่อเช็คว่าทุกอย่างโอเคมั้ย เขาน่าจะจับได้ว่าเรากำลังเครียดอยู่ และเราก็ถามต่อว่าทำไมยังไม่มารับ เขาถามต่อว่าเรากินข้าวเที่ยงละหรอ เราตอบว่าเรียบร้อยแล้ว เราอยากไปเที่ยวแล้ว เขาถามอีกครั้งว่าเรานอนแล้วหรอ ทำไมตื่นเร็ว
เอาจริงๆ เราไม่ค่อยเข้าใจที่ลัคกี้ถามก็นั่นหลังเที่ยง นี่บ่าย2แล้วยังไม่มาอีก
“อีก 15 นาที จะไปรับโอเคนะ ไม่ต้องกังวลอะไรนะ”
หลังจากวางสายไม่ถึง 10 นาทีลัคกี้มารับเราออกไปเที่ยว
“ยูไม่ต้องกังวลนะ เอางี้นะไอจะพายูไปที่ๆยูเคยส่งรูปมาให้ไอละกันนะ ยูจะได้สบายใจ”
เนื่องจากเรามีเวลาน้อยในทริปนี้เราเลยใช้วิธีไม่ถามแผนใคร แต่ตามใจตัวเอง เราอยากเที่ยวให้สนุกมากกว่า เที่ยวให้ครบ ดังนั้นเราเลยใช้วิธีหาที่เที่ยวที่อยากไปจากรูปใน Pinterest แล้วส่งไปให้ลัคกี้ ลัคกี้รับปากว่าเส้นทางไหนที่ผ่านสถานที่ๆเราอยากไป หรือวันไหนเรามีเวลาเหลือ เขาจะพาเราไป ตามที่เราอยากไป
และวันนี้ลัคกี้คงรู้ว่าเราเครียด จากการกลัวเที่ยวได้น้อย เลยยอมพาไปๆที่เราอยากไปก่อน ไม่ต้องตามแผนที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมันได้ผลค่ะ เรารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“ทำไม ยู มารับช้าล่ะ”
“ก็เรานัดกันหลังกินมื้อเที่ยงเสร็จไง”
“ก็ใช่ไง”
เอ้าาาา นี่ลัคกี้กวนตีนป่ะว้ะ รู้แล้วว่าหลังมื้อเที่ยงแต่นี่มันบ่าย 2 กว่า ไม่ช้ารึไง
“เดี๋ยวนะ ที่นี่เขากินมื้อเที่ยงกันกี่โมง ?”
“บ่าย 2 ไง”
“อ๋อออออออออออออออออออออ เคลียร์ละ”
วันนี้เป็นวันที่เราจะเที่ยวใกล้ Leh dakh กันค่ะ ที่หลักๆก็คือ Leh Palace ค่ะ
ลัคกี้พาเราออกมาจากตัวเมืองเลห์ ประมาณ 20 นาที ก็มาถึง Thiksey Monastery
Thiksey Monastery
เป็นวัดขนาดใหญ่ ซึ่งด้านในมีภาพเขียนฝาผนังที่สวยงามด้วย แต่เราไม่ได้เข้าไปข้างในค่ะ เพราะแฟนเราเริ่มมีอาการหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไร เลยได้แต่ถ่ายรูปความอลังการจากข้างนอกแทน
ระหว่างที่เราถ่ายรูปอยู่นั้น ก็เจอพี่คนไทยสองคนซึ่งเราเดาว่าพี่เขาเป็นแฟนกัน เพราะพี่เขาขับมอไซค์มาด้วยกัน พี่ผู้หญิงถามเราว่า มีอาการแพ้ความสูงบ้างมั้ย เราบอกว่ายังไม่มี แต่แฟนหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไรนะ พี่ผู้หญิงเลยเล่าว่า วันแรกที่พี่เขามา ออกมาเที่ยวไม่ได้เลย เพราะแพ้ความสูงหนักมาก แต่วันนี้เป็นวันที่สามแล้วพอโอเคหน่อย
ระหว่างที่พี่ผู้หญิงคุยกับเราอยู่ พี่ผู้ชายก็หันไปแนะนำแฟนเราว่า ต้องจิบแอลกอฮอร์สักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น พร้อมกับยื่นแอลฯ ส่วนตัวมาให้แฟนเราจิบ แฟนเราก็เชื่อคนง่ายเหลือเกิ้นนนนนน ก็จิบไปนิดหน่อย แล้วเราก็คุยกันอีก 2 – 3 ประโยคแล้วแยกกัน
“ไอจะพายู ไปที่ๆยูส่งรูปมาให้ไอนะ โอเคมั้ย”
“โอเคๆ อยากเห็นไปเลยๆ”
เราเป็นบุคคลที่ไม่ค่อยตื่นเต้นกับวัดสักเท่าไหร่ แต่เราเป็นบุคคลที่ตื่นเต้นกับธรรมชาติ โดยเฉพาะวิวภูเขา
“เราไปถ่ายรูปวิวตามที่ยู อยากถ่ายนะ แต่เราไม่มีเวลาพอที่จะไปด้านบนของวัดนะ”
เราพยักหน้าเพื่อบอกลัคกี้ว่าเข้าใจแล้ว
Stakna Monastery
cr. Pinterest
วิววัด Stakna Monastery ที่ตั้งอยู่บนเขา พร้อมวิวแม่น้ำสีฟ้าๆ เป็นภาพที่เราอยากจะเดินทางมาถ่ายรูปนี้ด้วยตัวเองมากที่สุดของทริปนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะดึงดูดเรากว่า Pangog Lake อันโด่งดังเสียอีก
แม่จ้าววววววววววววววววววว “ลืมเอาเลนส์ซูมมา” เราสบถกับตัวเอง
ด้วยความจำอันน้อยนิดของเรา ทำให้เราลืมเอาเลนส์ซูมมา จากที่คิดว่าจะได้รูปสวยๆไปอวด มันเลยได้รูปแบบที่เห็นมาแทน และก่อนที่เราจะเริ่มหงุดหงิดตัวเอง ก็ต้องรีบบอกตัวเองว่า ชั่งมัน รูปไม่สวยก็ชั่งมัน เพราะที่ตาเห็นนั้นมันสวยมากแล้ว
“สวยมั้ย ?”
“ยูแฮปปี้มั้ย ?”
ลัคกี้ถามเช็คความพอใจของเรา
“สวย ไอแฮปปี้แล้วตอนนี้”
ลัคกี้หันมายิ้มกับเรา ก่อนที่จะกลับไปทำหน้าที่เป็นคนขับรถของทริปอีกครั้ง
“งั้นเราไปเลห์ พาเลสกันนะครับ”
“โอเค”
ตอนนี้เรารู้สึกแค่ว่าไปไหนก็ตามใจเลยลัคกี้ เราได้เห็นวิวที่อยากเห็นแล้ว วันนี้ที่เหลือตามใจลัคกี้เล้ยยย
เราชอบวิวข้างทางในเลห์นะ มันมีอะไรให้มองและน่าตื่นเต้นดี
Leh Palace
เป็นราชวังเก่าที่ตั้งอยู่บนเขาที่ความสูงประมาณ 3000 กว่าเมตร เราจะต้องจ่ายค่าเข้าคนละ 10 รูปี (ลัคกี้จ่ายให้) ด้านในคล้ายเขาวงกตเป็นห้องจัดแสดงภาพนิดหน่อย เราไม่ได้ถ่ายรูปด้านในมาเพราะมันไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร แต่เราชอบวิวด้านบนมากกกกก มันสวยมากกกกกกกกก
รถจะมาส่งเราแค่ทางขึ้นสำหรับที่จอดรถนะคะ ซึ่งเราจะต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อย ตรงนี้แฟนเราเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไร ต้องเดินช้าๆ เมื่อเหนื่อยต้องหยุดจิบน้ำทันที ส่วนเรานั้นไม่มีอาการใดๆเลยค่ะ ตอนขึ้นมาเที่ยวที่นี่ลัคกี้อาสาเป็นไกด์พาเราเที่ยว Leh Palace เองค่ะ
เสียดายวันนี้ฟ้าไม่เป็นใจกับเรามากนัก ภาพเลยได้สีหม่นๆมาแทน
ขึ้นมาด้านบน เราจะได้เจอวิวเมือง Leh Ladakh ที่มีเทือกเขาทอดตัวยาวเป็นฉากหลัง มันสวยมากกกกกกกกก คุ้มค่าที่ขึ้นมา
เราไม่รู้จะถ่ายรูปออกไปยังไง ให้สวยเท่าที่ตาเห็น
ถ้าใครเคยอ่านรีวิวเก่าๆของบันทึกนักหนีเที่ยวมาก่อน จะรู้ว่าเราเป็นคนที่ชอบมองวิวมุมสูงของสถานที่ต่างๆมาก และครั้งนี้ก็เหมือนกันค่ะ วันแรกของเราใน Leh Ladakh เราได้ไปเจอวิวที่เราอยากเห็นด้วยตาตัวเอง และเราได้ขึ้นมาดูวิวมุมสูงของเมืองนี้ เมืองที่ใครๆก็ดั้นด้นจะมาให้ได้ มันทำให้เรารู้สึกว่า แค่เริ่มต้นทริปมันก็คุ้มค่าแล้ว ที่เราตัดสินใจเดินทางมา
“หิวมั้ย”
“หิวแล้วลัคกี้ พาไปหาร้านอร่อยๆหน่อยสิ” แฟนเรารีบตอบทันที
“งั้นไอพาพวกยูไปกินข้าวกันที่ตลาดนะ”
“โอเคคคค”
เราตบปากรับคำอย่างว่าง่าย สำหรับเราตอนนี้อะไรก็ได้อิ่มมีความสุขกับวิวที่ตาได้เห็นก็โอเคแล้ว
Leh Market
ตลาดเลห์เป็นแหล่งที่รวมร้านอาหารต่างๆ รวมร้านสำหรับใครต้องการหาของฝาก และสำหรับคนที่อยากถ่ายรูปวิถีชีวิต ซึ่งตลาดเลห์เป็นอีกแห่งที่เราอยากมาเพราะเราอยากถ่ายรูปผู้คนในตลาดแห่งนี้
ลัคกี้เดินนำเรามายังร้านอาหารชื่อว่า AAKAMA Restaurant ที่นี่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวไทยอีกร้านหนึ่งเลยค่ะ ร้านนี้มีเมนูหลากหลายนะ เราสั่งมา 3-4 อย่างซึ่งทั้งหมดนั้นก็เป็นเมนูอาหารที่รสชาติใกล้เคียงไทยมาก (ราคาไม่แพงด้วยนะ) ลัคกี้สั่งโมโมะ มาให้เราลองทานค่ะ บอกว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของเลห์เลยนะ
ลัคกี้ช่วยเราสั่งอาหารจนเสร็จ ก็ขอตัวบอกเดี๋ยวกลับมา ระหว่างเรารออาหารและลัคกี้กลับมา เราขอรหัส wifi จากพนักงาน จะได้เช็คโลกภายนอกหน่อยค่ะ ลัคกี้หายไปเกือบ 20 นาที ก็กลับมาด้วยห่ออาหาร บอกว่าอร่อยมาก ต้องไปต่อคิวนานเลยกว่าจะได้ (นั่นคือสาเหตุที่หายไป)
ลัคกี้แกะห่อที่ไปรอคิวมานาน พร้อมกับนำเสนอเราว่า มันเป็นเนื้อที่กินคู่กับโรตี สายเนื้อและคนชอบโรตีแบบเราไม่รอช้าค่ะ เห่ยยยยยยยย มันอร่อยจริงนะ คือดีมากกก (เราไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร ร้านอยู่ด้านนอกตลาดคนที่นั่นรู้จักดี)
“อิ่มมั้ย ?”
“มากกกกกกกก”
“แล้วอร่อยมั้ย ?”
“โอเคเลยยยยนะ”
“อยากซื้ออะไรมั้ย ?”
“ไม่อยากซื้ออะไร แต่อยากเดินถ่ายรูปรอบๆตลาดมากกว่า”
หลังจากที่เราซัดมื้อเย็นกันจนอิ่มมากแล้วนั้น ลัคกี้ถามว่าเราอยากจะซื้ออะไร หรือไปไหนอีกมั้ย เราบอกความต้องการว่า แค่อยากเดินเล่นและถ่ายรูปเท่านั้น
ลัคกี้บอกเราว่าถ้าเรามาหน้าร้อนของเลห์ ร้านต่างๆในตลาดของจะเปิดกันแน่นเลย เดินสนุกกว่านี้เยอะ แต่จริงๆเราไม่ได้จะซื้อของ เราแค่อยากถ่ายรูปและเดินดูวิถีชีวิตคน
ตลาดเลห์ เป็นสถานที่ๆเราจะสามารถมาเดินเล่น นั่งเล่น เพื่อดูความเป็นไปของวิถีชีวิตของคนเมืองนี้ และเป็นอีกแหล่งที่ทำให้เราเริ่มหลงรัก Leh Ladakh
เราใช้เวลาเดินเล่นและถ่ายรูปเล่นอยู่ที่ตลาด จนได้ทันดูแสงสุดท้ายของวันพอดี หลังจากนั้นเราเลยบอกให้ลัคกี้พาเรากลับไปยังโรงแรม เพราะตอนนี้เริ่มค่ำแล้ว ตลาดก็เริ่มวายแล้ว ขอกลับไปนอนเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เราจะเริ่มเที่ยวกันแบบจริงๆ
(ก่อนนอนเรากินยา diamox 1เม็ด)
Day 2
วันนี้เราตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ซึ่งเรานัดลัคกี้เอาไว้ 8 โมงค่ะ วันนี้เราจะออกไปเที่ยวนอกเมืองกัน แต่กลางคืนก็จะกลับมานอนที่เลห์เหมือนเดิม
เมื่อคืนหลับสบายมากค่ะ ผ้าห่มอุ่นกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เช้านี้ตื่นมาทำธุระส่วนตัว แล้วก็ลงมาทานมื้อเช้ากันค่ะ โดยมื้อเช้ารวมอยู่กับค่าที่พักละนะ
(ถ้าใครเอาแยม นมขนหวาน หรือ นูเทล่าแบบเรามาก็จะช่วยให้รสชาติอาหารดีขึ้นมากค่ะ)
เรากินมื้อเช้าเสร็จ แต่ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะกว่าจะถึงเวลาที่นัดกับลัคกี้เอาไว้ เลยออกมาถ่ายรูปหน้าบ้านเล่นหน่อย วันนี้มีแดด ฟ้าใสกว่าเมื่อวาน รูปวันนี้น่าจะออกมาสวย
เราไปเลห์ช่วงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่ดอก apricot บานพอดี เราเรียกมันว่า ซากุระ เลห์ ลาดัก
8 โมงตรงพอดีลัคกี้มารับเรา
“นอนหลับสบายมั้ยครับ”
“สบายมากกกก”
“โอเค พร้อมไปเที่ยวกันเลยมั้ย”
“โก โก ลัคกี้”
ลัคกี้แวะซื้อน้ำเปล่าหนึ่งลัง เพราะที่เราตกลงเรื่องราคากันบอกไว้ว่าแต่ละวันจะมีน้ำให้สองขวด
“ลิเดียๆ วันนี้ยูไม่ต้องซื้อน้ำละนะ เอาที่ไอซื้อไปเลยนะ”
เนื่องจากเมื่อวานตอนเย็นที่เราแวะไปตลาด ก่อนกลับเรากับแฟนแวะซื้อน้ำเปล่าสองขวดใหญ่ไว้กินตอนกลางคืน วันนี้ลัคกี้เลยซื้อให้เอง (น่ารักจังลัคกี้)
วันนี้เราจะออกเดินทางไปยัง Lamayuru หรือว่า Moon Land เป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกของเลห์ซึ่งสามารถไปเที่ยวเช้ากลับเย็นได้
เรานั่งรถออกไปจากเมืองได้ไม่นาน ข้างทางเริ่มมีสีเขียวมาบ้างแล้ว แล้วลัคกี้ก็หยุดให้เราได้ถ่ายรูปวิวข้างทางแห่งหนึ่ง แต่มันสวยเกินกว่าจะเป็นแค่ข้างทางนะ
“ลิเดีย ยูไม่ง่วงหรอ”
“ไม่ ไอชอบนั่งมองวิวข้างทางมากกว่า”
เราตอบแล้วยิ้มให้ลัคกี้ รู้ว่าเขาสงสัยเพราะตอนนี้แฟนเราไปเฝ้าพระอินทร์ตั้งแต่เราเริ่มห่างเมือง
นั่งรถมานานแค่ไหนเราไม่แน่ใจ เพราะเรามองวิวเพลินจนไม่รู้สึกว่ามันนานเลย แล้วลัคกี้จอดรถให้เราลงไปถ่ายรูปก่อนถึงจุดที่เป็นยอดฮิต ลัคกี้เริ่มจะเข้าใจละ ว่าเราชอบวิวภูเขาหรืออะไรประมาณนี้
“ข้างหน้าจะสวยมากๆ ที่แม่น้ำตัดกัน”
“โอเคคคคค”
Confluence of Zanskar & Indus river
ตรงนี้คือวิวยอดฮิตของคนมาเที่ยวเลห์ จุดบรรจบของแม่น้ำซันสการ์และแม่น้ำสินธุ
ลัคกี้จอดรถให้เราลงไปถ่ายวิวตรงนี้นานเท่าไรก็ได้ ตามที่ต้องการ จุดนี้เราได้เจอนักท่องเที่ยวไทยเยอะเลยค่ะ
เราใช้เวลาอยู่ที่จุดนี้ค่อนข้างนาน ใครๆก็เดินทางมาเลห์ เพราะอยากมาดูความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ก็ต้องซึมซับกันนานๆหน่อย
“ไปต่อเลยนะ”
“โอเคคค”
เราเดินทางกันต่อค่ะ เมื่อเริ่มไกลจากเลห์ สีเขียวของต้นไม้เริ่มมากขึ้น และข้างทางก็ยังคงดึงดูดสายตาเราได้เหมือนเดิม
ผ่านช่วงที่ต้นไม้เขียวๆมาไม่นาน ก็จะเจอกับสองข้างทางที่ไม่มีอะไรเลย แต่เป็นอีกวิวที่เราชอบนะ (แกชอบทุกวิวววววว)
“ลิเดีย จอดถ่ายรูปมั้ย”
“จอดเลยลัคกี้”
เราไม่เคยปฏิเสธในการลงไปถ่ายรูปวิวอยู่แล้ว
“ถ้ายูมาช่วงหน้าร้อนของเลห์นะ ถนนเส้นนี้ก็จะเต็มไปด้วยรถของนักท่องเที่ยว ยูไม่ได้ความสงบแบบที่ยูต้องการหรอก แต่มันก็สวยไปอีกแบบนะ”
ตลอดทางในทริปเลห์มีจุดให้เราแวะถ่ายรูปตลอด ใครชอบมองวิวข้างทางแบบเราทริปนี้มีความสุขแน่นอน ผ่านมาอีกไม่นานเราก็ได้เจอกับแม่น้ำสีฟ้าอยู่ในอ้อมกอดของหุบเขาสวยมากค่ะ
“ลัคกี้ ทำไมเลห์ทหารถึงอยู่เยอะจัง”
“เลห์อยู่ในพื้นที่ใกล้กับชายแดนครับ ฝั่งนึงติดจีน อีกฝั่งติดปากีสถานครับ”
“อ๋ออออออออออออ”
“แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ ปลอดภัยแน่นอน”
“โอเคคคค จริงๆไม่ได้กังวลหรอก แค่อยากรู้”
แล้วจุดหมายที่สองของวันนี้เราก็มาถึงแล้ว
Lamayuru monastery
เป็นวัดขนาดใหญ่ที่อยู่บนเขา วัดนี้เป็นวัดประจำเมืองและขึ้นชื่อของเมืองนี้ค่ะ จริงๆวัดนี้เราก็ไม่ได้อินอะไรมาก แต่วิวเมื่อมองกลับไปด้านล่างสวยมากค่ะ
เมื่อมาถึงวัดแห่งนี้ซึ่งอยู่บนเขาสูงแบบที่เราบอกไป แฟนเราเริ่มมีอาการใจเต้นเร็ว หายใจไม่ทันอีกละค่ะ ลัคกี้เลยพาไปนั่งกินจัย(เครื่องดื่มยอดนิยมของคนอินเดีย) เพื่อพักให้ร่างกายชินกับความสูงหน่อย ส่วนเรานั้นไม่มีอาการใดๆเลยค่ะ
และเมื่อมองย้อนกลับไปจะเจอวิวที่สวยมากค่ะ
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน ก็ลงมาลัคกี้บอกเราว่าจะพาไปดู Moon Land
ซึ่งงงงงงงงงงงง Moon Land ในจิตนาการกับความเป็นจริงมันคนละเรื่องกันนนนน เรามโนเอาว่า มันคือเส้นทางขุระ เป็นหลุมเป็นบ่อแบบผิวดวงจันทร์
แต่ในความเป็นจริงนั้น Moon Land คือก้อนหินที่มีรูปร่างประหลาดเท่านั้นเอง
เห้อออออออออออออ เข้าใจผิดตั้งนาน อุตส่าห์ทำใจว่าวันนี้ไปมูนแลนด์ ถนนไม่ดีลำบากแน่นอน ที่ไหนได้ ม้ายช่าายยยยยย
“หิวกันรึยังครับ”
“เริ่มหิวแล้วลัคกี้”
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมพาไปกินมื้อเที่ยงก่อนนะ”
ลัคกี้ถามเราหลังจากรถเริ่มเคลื่อนออกจาก Moon Land ตอนนี้เวลาเลยเที่ยงไปนานแล้ว ท้องเริ่มส่งเสียงละ เรานั่งรถมาไม่นานเราก็มาถึงย่านชุมชน ลัคกี้มาส่งเราที่หน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง แล้วบอกเราว่าให้เข้าไปกินกันเลยนะ ย้ำอีกว่าไปนั่งหลังร้านนะบรรยากาศดี
เดินมาด้านหลังร้าน มันก็ไม่ได้บรรยากาศดีเวอร์หรอกค่ะ แค่เหมือนอยู่ในสวนประมาณนั้น ร้านนี้น่าจะเป็นร้านดังในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะตอนนี้เราไปก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวทยอยกันมาประมาณ4-5กลุ่มเลย
เราสั่งอาหารอย่างด่วน เพราะตอนนี้มือเริ่มสั่นละ หิววววว
เหมือนเดิมค่ะ สั่งอาหารจีนปลอดภัยไว้ก่อน 55555 และก็ยังคงสั่งโมโมะแต่คราวนี้ก็สั่งแบบนึ่งมาลองหน่อย ซึ่งจริงๆมันก็คล้ายเกี๊ยวซ่าเลยล่ะ
อาหารรสชาติถือว่าดีทีเดียวค่ะ แถมให้เยอะมาก ใครมาสองคนแบบเราไม่ต้องสั่งเยอะนะ กินไม่หมดแน่นอน
“อิ่มมั้ย
“อิ่มมากกกกกกกกกก”
“งั้นไปเที่ยวต่อนะครับ”
“โอเคคคค”
ลัคกี้เป็นคนให้บริการที่จะเช็คผู้รับบริการตลอดเวลา ว่าเราพอใจมั้ย โอเคมั้ย
นั่งรถมาได้ไม่นาน เราก็เจอแม่น้ำสีฟ้าๆเข้าอีกแล้วค่ะ
เราชอบแม่น้ำสีฟ้าแบบนี้ มองแล้วสดชื่นมากกกกกกกก
“ถึงละครับ วัดอชิ ด้านในสวยมากกก เป็นอีกวัดดังเลยนะ”
“โอเคๆ เดินเข้าไปตามทางนี้เลยใช่มั้ยลัคกี้”
“ใช่ครับ เดินเข้าไปทางนั้นนะ”
ลัคกี้อธิบายทางกับเรา เพราะเขาจะรอเราอยู่ที่รถให้เราเดินเข้าไปเอง
เราเดินเข้ามาแล้วก็เจอนักท่องเที่ยวไทยล้วนๆเลยค่ะ ประมาณ 20 คนเห็นจะได้ ก็มากันหลายๆกรุ๊ป เราเห็นทุกคนเดินไปดูรอบๆวัดกัน ก็เดินตามไปค่ะ
Alchi Choskor Monastery
เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องแวะเมื่อเดินทางมายังเส้นทาง Moon Land หรือ Lamayuru
แล้วเราก็มาเจอกับต้นแอปเปิ้ลและดอกแอปฟลิคอทที่กำลังออกดอกสวยมากทีเดียวค่ะ
เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ ทางเล็กๆรอบวัดพาเราไปยังด้านหลังของวัด มันคืออีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยมากเลยค่ะ และแน่นอนวันนั้น ตรงนั้นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวไทยที่ผลัดกันถ่ายรูปไปมา
เราเจอพี่คนไทยสองคนที่เจอกันเมื่อวาน ก็คุยกันถามถึงแพลนเที่ยววันนี้และวันพรุ่งนี้ และไม่ลืมถามอาการแพ้ความสูงของพี่ผู้หญิง
“พวกพี่เข้าไปในวัดยังคะ”
“ยังหรอก พวกพี่ไม่อินกับวัดเท่าไร เลยเดินถ่ายรูปรอบๆวัดมากกว่า”
“ฮ่าาาาา เราพวกเดียวกันค่ะ”
“แต่พี่รู้นะว่าอะไรจะเป็นทางเรา” พี่ผู้หญิงพูดกับเรา
“ช้อปปิ้งทางเข้ากัน ของสวยๆเยอะเลย”
“ไปค้าาาา ตกลงงงง”
ด้านทางเข้าของวัดอชิ มีแผงขายของจากพ่อค้าแม่ค้าคนพื้นที่มาตั้งแผงขายกันเยอะเลยค่ะ แนะนำให้ต่อรองราคาเยอะๆหน่อยค่ะ
ส่วนเราใช้เวลาตรงนี้นานมากค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปแผงสินค้ามาสักเท่าไร เพราะร้านไหนที่เราเริ่มยกกล้องขึ้นมา พ่อค้าแม่ค้าเริ่มจะให้ช่วยซื้อละค่ะ แต่เราชอบคุณยายคนนึง เราขอยายถ่ายรูป ยายบอกว่าได้ แต่แลกกับซื้อเม็ดแอปฟลิคอทยายถุงนึงนะ ได้เล้ยยยยค่ะ ยาย หนูชอบยายยย
“เป็นไงบ้างครับ วัดสวยมั้ยครับ”
“ม่ายรู้ เพราะมัวแต่ช้อปปิ้งอยู่หน้าวัด 55555555555”
“ฮ่าาา แล้วโอเคมั้ยครับ”
“โอเคมากก สนุกกก”
“ครับบบบบ งั้นเรากลับกันเลยนะ”
“เย็นนี้เราไปสันติ สถูปกันนะครับ ที่เมื่อวานเย็นเกินเลยยกยอดมาไปวันนี้แทนนะ”
“โอเคคคค”
แล้วลัคกี้ก็พาเรามาถึงสันติ สถูป
“ลิเดีย ยูขึ้นไปเที่ยวกันเองนะ ไอขอรออยู่ด้านล่างนะ โอเคมั้ย”
“ได้เลยยย สบายมาก”
ลัคกี้ส่งเราใกล้กับทางเดินขึ้นไปยังสันติ สถูป เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ บนสันติ สถูป นักท่องเที่ยวเยอะมากค่ะ และด้านบนวิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เป็นวิวที่ไม่สามารถละสายตาไม่ได้จริงๆ
เป็นวิวที่เราชอบมาก มันได้เห็นเลห์ ลาดักในมุมกว้าง
Shanti Stupa
เจดีย์สันติภาพ เป็นเจดีย์สีขาว ขนาดใหญ่โดยญี่ปุ่นเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก เจดีย์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขาในแทบจังสปา ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 2 กิโลเมตร จากเจดีย์เราสามารถมองเห็นเมืองเลห์ได้ในมุมสูง และมองเห็นพระราชวังเลห์
เจดีย์สันติภาพเปิดให้เข้าชมเวลาประมาณ 05.00 – 21.00 น. ไม่มีค่าใช้จ่าย
เราใช้เวลาถ่ายรูปบนนี้นานมากค่ะ
ก็คนมันชอบวิวมุมสูงของเมืองแบบนี้
นี่แค่วันที่สองของการมาเที่ยวทริปนี้ เลห์ ลาดักก็ทำให้เราหลงรักขึ้นเรื่อยๆ
(และสกิลการถ่ายรูปของแฟนเรา – หน้าเบลอ หลังชัด ดีงามมมมม)
เราใช้เวลาถ่ายรูปวิวจนพอใจ ก็เดินลงมาหาลัคกี้
“ลัคกี้วันนี้ยังมีที่เที่ยวอื่นอีกมั้ย”
“ไม่มีครับ”
“งั้นพาไปตลาดหน่อย”
“ได้ครับ แต่อยากซื้ออะไรพิเศษ หรือ จะไปกินข้าว”
“ยังอิ่มอยู่เลย แค่อยากไปเดินตลาด อยากถ่ายรูป”
“ได้ครับ”
เราเดินถ่ายรูปเล่นในตลาดแล้วก็มาเจอกับหนุ่มน้อยลาดักหน้าตาน่ารักมากกกกกกกกกกกกกก เลยต้องขอถ่ายรูปไว้สักหน่อยค่ะ
เดินเล่นต่อมาเรื่อยๆ ก็มาเจอกับเด็กหนุ่มลาดักหน้าตาหล่ออีกคน ก็ขอถ่ายรูปอีกเหมือนเดิม
ใครชอบถ่ายรูปคน มาอินเดียถ่ายรูปสนุกแน่นอนค่ะ
เราเดินเที่ยวถ่ายรูปในตลาดจนพอใจ ก็เลยตัดสินใจว่าจะหาซื้อของฝากตั้งแต่วันนี้ละกัน เพราะกลัวว่าวันสุดท้ายเวลาจะน้อย จะไม่ได้ซื้ออะไร
ก่อนมาเลห์ เราหาข้อมูลเกี่ยวกับของฝากมานิดหน่อย และได้รู้ว่าผลิตภัณฑ์ Himalaya เป็นอะไรที่ใครมาอินเดียแล้ว ควรซื้อกลับไปมากๆเพราะ เป็นเวชสำอางค์คุณภาพดีแต่ราคาสุดแสนจะย่อมเยาว์
ในตลาดเลห์มีอยู่หนึ่งร้านค่ะ ที่รวม Himalaya เอาไว้และดูจะเป็นร้านยอดฮิตของนักท่องเที่ยวไทยด้วยสิ
และก็เป็นจริงดังที่เราคิดค่ะ เพราะเราเจอนักท่องเที่ยวไทยอยู่ในร้าน และบังเอิญกว่านั้นคือออออ เราเจอพี่คนไทยสองคนที่เราเจอตั้งแต่วันแรก
วันนี้เราคุยกันถูกคอมากค่ะ ตั้งแต่เรื่องผลิตภัณฑ์ไหนดี มาเลห์พักที่ไหน ทำไมถึงมา ยาวไปจนรู้ว่าบ้านของแต่ละคนอยู่จังหวัดไหน แล้วก็คือความบังเอิญอีกครั้ง เพราะพี่ผู้ชายบ้านเกิดอยู่จังหวัดตรัง ซึ่งก็คือคนภาคเดียวกันกับเรา คราวนี้ละค่ะ บทสนทนาหลังจากที่รู้ภูมิลำเนาก็กลายเป็นภาษาไทยใต้ทั้งหมด 55555
เราคุยกันอยู่เกือบ ชม. จนพี่ทั้งสองขอตัวกลับก่อน และเมื่อแยกกันแล้วเราพึ่งนึกได้ว่าเรายังไม่ได้ถามชื่อกันเลย เราคุยกันสนิทขนาดนี้แต่เราไม่รู้จักชื่อกันเลย
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
วันนี้เราเดินเล่นตลาดกับแฟนแค่สองคนค่ะ ลัคกี้ขอตัวกลับไปบ้านพักแปปนึง พร้อมกับบอกเราว่าถ้าเดินเล่นเสร็จแล้วให้ไปนั่งกินกาแฟที่คาเฟ่ใกล้ๆกับตลาดรอนะ ที่นั่นมี Wifi จะกลับก็ให้ทักไปบอก จะกลับตอนไหนตามใจเลย
แฟนเรานี่ตาเป็นประกายเลยค่ะ เมื่อได้ยินว่ามีร้านกาแฟที่เป็นคาเฟ่ด้วย
ก่อนข้ามถนนไปร้านกาแฟ เราหันกลับไปถ่ายรูปไว้หน่อย เราชอบวิวนี้มากเลยล้ะ
บรรยากาศในร้านเป็นคาเฟ่นั่งสบายๆ WiFi เร็วปรืดดดดมากกกกกกกกกกกกกกก และที่สำคัญที่สุดกาแฟและโกโก้อร่อยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เราใช้เวลาอยู่ร้านกาแฟจนเย็นมาก แล้วก็ส่งข้อความไปบอกลัคกี้ ให้มารับกลับไปส่งโรงแรม
รอไม่นานลัคกี้มารับเราที่ร้าน
แล้วแฟนเราก็เริ่มบทสนทนา
“ลัคกี้มีร้านกาแฟดีๆทำไมไม่บอกกกให้เร็วกว่านี้”
“ไอม่ายรู้ ว่าพวกยูจะชอบกัน”
“ร้านนี้บาริสต้า เป็นเพื่อนไอเองนะ”
“หรอ แล้วร้านนี้เปิดกี่โมงลัคกี้”
“ไอถามให้นะ”
“โอเคครับ”
“ไอถามแล้วเปิดประมาณ 10 โมงครับ ทำไมหรอ”
“นึกว่าเขาจะเปิดเร็ว เพราะพรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางยาว อยากแวะมาซื้อกาแฟก่อน”
“อ๋ออออออออออออออออออ งั้นเดี๋ยวไอลองขอให้นะ”
แล้วลัคกี้ก็ไปสนทนาเป็นภาษาถิ่นอยู่นานสองนาน แล้วก็กลับมาบอกเราด้วยหน้ายิ้มๆ
“พรุ่งนี้ 8 โมง ร้านเปิดให้เราครับบบ”
“เอ้ยยย ลัคกี้น่ารัก ขอบคุณมากนะ”
สมใจแฟนเราแล้วละคะ จะได้ทานกาแฟดีๆตอนเริ่มทริป สบายใจคุณเขาแน่นอน
Day 3
วันที่สามของการเที่ยวเลห์ ลาดัก เป็นวันที่เราตื่นเต้นที่สุด ไม่ใช่เพราะต้องนั่งรถนานๆ หรือจะได้ไปขี่อูฐหรอกค่ะ แต่เราจะได้ผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลกกกกกกกกกกกก
เช้านี้เหมือนเดิมค่ะ เรานัดลัคกี้ไว้ 8 โมง เราตื่นแต่เช้าจัดการธุระตัวเองกันเสร็จเรียบร้อย วันนี้เราจะต้องเช็คเอาท์จากที่พักในเลห์ก่อน เพราะคืนวันนี้เราจะไปพักที่นูบร้ากัน ( Nubra )
ก่อนที่ลัคกี้จะมารับเราลงมาหาอะไรรองท้องกันก่อน
8 โมงตรง ลัคกี้มารับเราตามที่นัดเอาไว้
และก่อนออกเดินทางทีมเราต้องแวะซื้อกาแฟกันก่อนค่ะ
“ลัคกี้ร้านยังไม่เปิดเลย”
“เดี๋ยวไอลงไปดูเองครับ”
แล้วลัคกี้กลับมาบอกเราว่าต้องรอประมาณ 15 นาที เราถามลัคกี้ว่ารอได้มั้ย ลัคกี้รีบบอกว่าได้อยู่แล้ว ทริปจะสนุกเมื่อสมาชิกแฮปปี้ เขาได้หมดถ้าเราแฮปปี้
ระหว่างรอกาแฟ ก็มีวิวหน้าร้านให้เราได้ยืนมองเพลินๆ
แค่วิวเมืองที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ แค่นี้ก็ทำให้เช้าวันนี้เราสดใสมากละค่ะ
ได้กาแฟแล้ววว
ออกเดินทางด้ายยยยยยยยยยยยยยยยยย
เราออกมาจากตลาดไม่ไกล แล้วลัคกี้ก็มาหยุดธุระกับเพื่อนนิดหน่อย เลยได้เห็นวิถีชีวิตผู้ชายที่ต้องมาทำงานก่อสร้างตอนเช้ากันค่ะ
ไม่นานเราก็ออกเดินทางกันต่อ
เราชอบการได้นั่งรถเที่ยวแล้วมองวิวไปเรื่อยๆแบบนี้มากค่ะ
แต่เชื่อสิวิวแบบนี้คนที่ชอบหลับบนรถ หลับไม่ลงแน่นอนนนนนนน
“ลัคกี้ทำไมเราไม่เจอรถสวนเลยอ่ะ”
“คนอื่นเขาไปกันตั้งแต่เช้าแล้วครับ”
“อ๋อออออออออ เราช้ากว่าชาวบ้านนี่เองงงง”
“ไม่ช้าๆครับ แค่คนอื่นเขาไปกันเช้าเท่านั้นเอง”
“นั้นแหละะะะะะะ แถวบ้านเรียกช้า”
แต่การออกสายกว่าคนอื่นมันก็ดีเหมือนกันนะคะ ถนนโล่งมาก สบายตา
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
“แวะถ่ายรูปมั้ยครับบบ”
“แวะสิลัคกี้”
“โค้งหน้านะ”
“โอเคคค”
“เราไปกันต่อเถอะลัคกี้ เรานี่ช้าสุดของวันนี้ละมั้ง”
ลัคกี้ค่อยๆขับรถไต่ละดับขึ้นมาเรื่อยๆ
แฟนเราเริ่มอาการไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก แน่นท้อง จนลัคกี้บอกว่าให้ลองย้ายไปนั่งหน้าข้างคนขับ น่าจะรู้สึกดีขึ้น
นั่งรถมาไม่นานเรามองเห็นว่าถนนข้างหน้ารถติด ซึ่งรถเราก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้เช่นกัน ลัคกี้จอดรถแล้วลงไปดูว่าเกิดไรขึ้นรถถึงติด
ตรงนี้จะเห็นว่าหิมะเริ่มเยอะ เราเข้าใกล้จุดที่เป็นถนนเส้นที่สูงที่สุดในโลกละคะ และแฟนเราก็อาการแย่ลงกว่าเดิม จนต้องเดินไปหามุมอ้วกค่ะ แต่หลังจากอ้วกแล้วก็อาการดีขึ้นเยอะ
ความสูงเริ่มมากขึ้น เราก็จะเห็นหิมะที่มากขึ้นตามมาด้วยค่ะ
รอไม่นานค่ะ รถก็เคลื่อนได้
และในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่เราอยากมาที่สุดของวันนี้ !!!
Khardungla Top
จุดที่บอกว่าเป็นถนนเส้นที่สูงที่สุดในโลก สูงกว่าระดับน้ำทะเล 5514 เมตร
จุดนี้หากใครมีอาการแพ้ความสูงก็จะเกิดอาการเยอะหน่อยค่ะ บางคนอาจจะต้องใช้ออกซิเจนในรถก็มี จุดนี้คนขับจะพยามให้เราอยู่ไม่เกิน 30 นาที เพราะจะเป็นอันตรายได้ถ้าใครที่ร่างกายไม่ไหว แต่เมื่อลงไปข้างล้างแล้วอาการก็จะดีขึ้นเรื่อยๆเองค่ะ
ตัวเราเองไม่มีอาการใดๆเลยที่ความสูงมากขนาดนี้ แถมกระโดดโลดเต้นได้อีกกกกกก ส่วนแฟนเรานั้นอาการดีขึ้น แต่เดินเร็วๆยังไม่ได้
ด้านบนนี้ไม่ได้หนาวขนาดทนไม่ไหวนะคะ สำหรับเราถือว่ากำลังดีค่ะ หรืออาจจะเพราะเราใส่ชุดกันหนาวที่หนาพอดีด้วยมั้งค่ะ เราเลยไม่รู้สึกว่ามันหนาว
น่าจะเพราะเราออกจากเลห์มาช้า ทำให้เมื่อเรามาถึงจุดที่เป็นถนนสูงที่สุดในโลก คนไม่เยอะค่ะ รอถ่ายรูปกับป้ายไม่นาน
เราใช้เวลาถ่ายรูปเล่นอยู่ค่อนข้างนาน นานพอที่ทำให้เราได้เจอพี่ผู้ชาย(คนเดิม)ที่เคยเจอตั้งแต่วันแรก แต่พี่เขาลงจากรถมาแค่คนเดียว เราถามจนรู้ว่า พี่ผู้หญิงอาการไม่ดีลงจากรถไม่ได้ และพี่ผู้ชายก็ต้องลงมาถ่ายรูปแบบรีบๆ เพราะจะได้ลงไปจุดที่ต่ำกว่านี้เร็วๆ
(ถ้าพี่บังเอิญอ่านมาเจอทักหนูมาหน่อยนะคะ)
เรายังคงถ่ายรูปเล่นอยู่อีกสักพัก
“ลิเดีย เราลงไปข้างล่างกันได้แล้ว อยู่บนนี้กันนานแล้วนะ”
“ลัคกี้อีกแปปได้มั้ย ขอซึบซับอีกนิด”
“ยูอ้ะ ไอไม่ห่วงหรอก ยูแข็งแรงมากกกกกกกกกกกกกกก แต่ไอห่วงแฟนอยู่นะสิ”
“ก็ด้ายยยยยยยย ลงก็ลง”
“ลัคกี้ขอแวะเล่นหิมะข้างทางหน่อยได้มั้ย”
“ได้ครับ แต่ขอไปหาตรงที่จอดรถไม่ขวางถนนหน่อยนะครับ”
“โอเคครับบบบบ”
แฟนเราขอให้ลัคกี้จอดรถเพราะอยากลงไปเล่นหิมะหน่อย
เราเล่นหิมะกันนิดหน่อย แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ แล้วผู้ชายในทีมเราก็แวะเก็บน้ำแข็งมากินกันอย่างสบายใจเฉิบบบบบบ
ออกเดินทางกันต่อค่ะ เรามุ่งหน้าไปยังนูบร้า
เรายังคงถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อยๆ ความสุขของคนชอบนั่งรถเที่ยวจริงๆค่ะ
“ลัคกี้อยากถ่ายรูปแถวนี้ เราหยุดได้มั้ย”
“ได้ครับบบบ”
ระหว่างทางไปนูบร้า มีแต่วิวสวยๆค่ะ เราอดใจไม่ไหวจริงๆต้องลงมากระโดดโลดเต้นบนถนนว่างๆนั้น


หน้าตาร่าเริงเกินเรื่องจริงๆ
เราถ่ายรูปเล่นสักพัก ลัคกี้ก็บอกว่าควรไปกันได้แล้วไม่งั้นกว่าจะไปถึงจุดหมายวันนี้คงค่ำแน่ๆ
“ลัคกี้ๆๆๆ ขอแวะถ่ายรูปลาหน่อยยยยย”
นั้นไม่ใช่เสียงเราค่ะ แต่เป็นแฟนเรา อยากจะรักสัตว์ขึ้นมาอีกกกกกกกกกกกก
ลัคกี้คงจะถอนหายใจ และคิดในใจว่า อิคู่รัก คู่นี้อะไรมันจะมีความสุขกับข้างทางขนาดนั้น
“ลิเดีย ยูไม่ง่วงหรอ”
“ไม่นะ วิวขนาดนี้ง่วงไม่ลงหรอก”
“ยูไม่เหนื่อยหรอ”
“ไม่เลย ถ้ามาเที่ยวไม่มีทางเลยที่จะเหนื่อย 555”
“ยูเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงมากนะ”
“55555555555” (หลอกด่าป่ะว้ะ)
“ลัคกี้ เคยไปปากีสถานมั้ย”
“ไม่เคยครับ แต่ที่นี่มีหมู่บ้านที่ติดปากีสถานมากอยู่นะครับ ไว้คราวหน้าถ้ายูมีเวลาจะได้ไป”
“ไออยากไปปากีสถานนนนนน”
“ไม่นานยูก็คงได้ไปลิเดีย”
“ลัคกี้ คนอินเดียห้ามเข้าปากีสถานหรอ”
“ช่ายครับ ห้ามมันคือกฎหมายเลยนะ”
“อ๋อออออออออ เข้าใจละ”
เมื่อเราเริ่มเข้าใกล้เขตนูบร้าแล้ว ก็เริ่มมีคนสวนบนถนนมากขึ้น
และเราจะเริ่มเห็นพื้นที่ๆเป็นทะเลทรายมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ
“ลัคกี้ขอแวะถ่ายรูปหน่อยยยยยยยยยย”
“ได้ครับบบ”
“เดี๋ยวไอพาพวกยูไปกินข้าวกันก่อนเนอะ”
“โอเค”
หมู่บ้าน Diskit เป็นหมู่บ้านหนึ่งในนูบร้า และเป็นบ้านเกิดของลัคกี้
ลัคกี้ส่งให้เราแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านแห่งหนึ่งแล้วตัวเองขอกลับไปหาแม่ที่บ้านหน่อย แถมบอกเราว่าไม่นานเดี๋ยวจะรีบกลับมา
มื้อนี้เราสั่งอาหารจีนเหมือนเดิม
ร้านนี้รสชาติอร่อยและปริมาณเยอะแบบร้านอื่นๆที่เคยได้กินมาตลอดทริปนี้
เรากินข้าวเสร็จพอดีกับที่ลัคกี้กลับมาจากบ้าน
ลัคกี้เล่าให้ฟังว่า เขาไม่ค่อยได้เจอแม่กับพ่อหรอก เพราะว่าต้องทำงานในเลห์ เวลากลับบ้านมาแบบนี้ถึงจะได้แว๊บไปหาแบบแปปๆแบบนี้แหละ
ตอนนี้ลัคกี้กำลังจะพาเราไปยังวัดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ Diskit
Diskit Monastery
วัดแห่งเมือง Diskit และเป็นวัดดังของนูบร้า ใครมานูบร้าต้องได้แวะมาวัดแห่งนี้แน่นอนค่ะ ต้องจ่ายค่าเข้าคนละ 30 รูปี ตัววัดจะอยู่บนเนิน เดินค่อนข้างเหนื่อยเลยค่ะ และที่สำคัญที่สุด คือ วัดแห่งนี้วิวสวยมากกกกก
วิวของวัด จะสามารถเห็นองค์พระศรีอริยะเมตไตรยมาแต่ไกล ด้วยความสูงขององค์พระถึง 32 เมตร ประดิษฐานอยู่บนเนินเขา
วันที่เราไปมีทหารผู้ใหญ่ของเลห์มาเที่ยววัดนี้ด้วยค่ะ (ของเขาดังจริงๆ)
จุดจอดรถเมื่อหันหน้ากลับไปยังถนน วิวสวยมากค่ะ
เราเดินขึ้นบันไดของวัดมาเรื่อยๆค่ะ เดินไปแวะถ่ายรูปวิวแก้เหนื่อยไป
เหมือนเดิมค่ะ เราไม่ได้อินอะไรกับวัด แต่เราอินกับวิวววววววววววววว กดมันไปรัวววววววว
วันนี้ที่นูบร้าลมค่อนข้างแรงค่ะ ลัคกี้เลยพาเราหลบมุมมาจิบชาจัย
วัดนี้ลัคกี้บอกว่าลุงของเขาเป็นพระอยู่ที่นี่ด้วย
บนวัดแห่งนี้มีร้านขายของที่ระลึกด้วยนะคะ เราแวะซื้อโปสการ์ดฝากลัคกี้ส่งกลับไทยด้วยค่ะ
(ลัคกี้บอกว่าให้เราเขียนข้อความและจ่าหน้าให้เรียบร้อย แล้วเขาจะอาสาไปส่งให้เราเอง)
ระหว่างทางลงมาที่รถ เราเดินสวนกับคนงานของวัดด้วยค่ะ ลัคกี้บอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนอินเดีย แต่เป็นคนเนปาลที่มาทำงานที่นี้ ได้เงินเดือนจากวัด
เราถ่ายรูปบนวัดจนพอใจแล้ว ก็ได้เวลาไปฝั่งตรงข้ามต่อค่ะ เราจะไปยัง องค์พระศรีอริยะเมตไตรย
จากวัดมาฝั่งตรงข้ามนั่งรถมาแปปเดียวก็ถึงค่ะ
เมื่อมาถึงมองย้อนกลับไปยัง Diskit Monastery วิวสวยมากค่ะ
วันนี้เป็นวันที่ลมแรงมากค่ะ และด้วยพื้นที่ของที่นี่มีทะเลทรายเยอะ เลยทำให้วิวที่เรามองออกไป เราจะเห็นว่าในภาพนั้นเหมือนฝุ่นเลย
ตอนขึ้นมาด้านบนวัด แฟนเรามีอาการมึนๆหัวอีกครั้งค่ะ
ลัคกี้แนะนำให้เราลงมาจากด้านบน ไม่นานอาการที่เป็นก็จะหายไปเอง
“เดี๋ยวเราจะไปขี่อูฐกันนะครับ”
“โอเคคค”
“พวกยูเคยขี่อูฐมาก่อนมั้ย”
“ไม่เคยย ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก”
“โอเค ไอหวังว่าอูฐยังไม่กลับนะเพราะเรามาถึงกันเย็นละ”
“พวกยูลงไปเดินถ่ายรูปเล่นกันก่อนนะ เดี๋ยวไอมา แล้วจะพาไปขี่อูฐ เพราะไอจะได้ถ่ายรูปให้พวกยู โอเคมั้ย”
“โอเคคคค”
เรานั่งรถมาไม่นานก็มาถึงทะเลทรายกว้างๆที่เป็นจุดให้นักท่องเที่ยวได้ขี่อูฐกันค่ะ ลัคกี้มาจอดรถแล้วบอกให้เราไปเดินถ่ายรูปก่อน พูดจบเขาก็เดินหายไปไหนสักแห่ง
เราชอบวิวตรงนี้มากค่ะ มีธารน้ำใสๆ ไหลผ่านแล้วมีฉากหลังคือภูเขาที่สลับซับซ้อน สวยมากค่ะ
วิวทะเลตรงนี้สวยมากค่ะ เราว่าใครไม่อยากขี่อูฐแต่ได้มาดูวิวนี้และถ่ายรูปวิวก็สวยมากละค่ะ
“ลัคกี้ไปนานจัง”
“ขอโทษครับ แต่กลับมาแล้วนะ”
“ไอไปจองคิวอูฐให้นะ”
“โอเค”
ลัคกี้กลับมาจากการไปทำธุระส่วนตัว แล้วจึงไปติดต่อจองคิวอูฐให้เราค่ะ ราคาอูฐคนละประมาณ 100 บาท ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ
ลัคกี้บอกว่าจะเป็นคนถ่ายรูปให้เราเอง ซึ่งเราก็เข้าใจว่า ลัคกี้จะยืนรอเราอยู่ที่จุดขึ้น-ลงอูฐ แล้วคอยถ่ายรูปให้ตรงนั้น แต่ป่าวเลยค่ะ ลัคกี้อาสาเดินตามหลังอูฐแล้วถ่ายรูปให้ตลอดทางด้วยยยยย
เห่ยยยยยยยยยยยยย บริการทุกระดับประทับใจสุดๆเลยลัคกี้ !!!
ระยะทางในการขี่อูฐไม่เยอะมากค่ะ ไปกลับประมาณ 20 นาที พอให้เราได้บรรยากาศของการนั่งอูฐ และได้ดูวิวสุดลูกหูลูกตา สวยมากกกกกก
ส่วนประสบการณ์ครั้งแรกของเรา บอกได้คำเดียวว่า “เมื่อยยยยยยตูดดดดด มากกกกกกกกกกกกก”
“ลิเดีย ไอโทรบอกโรงแรมที่ยูจะพักให้แล้วนะ ว่าพวกยูอาจจะไปถึงช้าหน่อย แล้วก็บอกแล้วด้วยว่าพวกยูจะทานข้าวเย็นที่นั่น”
“ขอบคุณนะลัคกี้”
“ครับ เอ้ออ อีกอย่างคือ วันนี้พวกยูเป็นแขกแค่ห้องเดียวของโรงแรมนะ”
“เห้ยยยย จริงดิ”
“ครับบบ”
“ลัคกี้ ระยะทางไปโรงแรมกี่นาที”
“ประมาณ 30 นาทีครับ”
“ไกลจัง”
“ก็ยูดันจองโรงแรมนอกเมือง”
“ก็ไม่รู้ เห็นมันน่าจะสบายดี”
“ครับบบบบ”
“ลัคกี้ พรุ่งนี้เราออกเดินทางกันกี่โมงดี”
” 6 โมงเช้านะครับ เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางไกลมาก เส้นทางมันก็ไม่ค่อยดี ออกเร็วไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด”
“จะถึงที่พักพวกยูละ มันจะไกลชุมชนหน่อยนะ แต่ไอว่าพวกยูชอบแน่ สงบมากกกกกกกก”
“ใช่ สงบมากกกกกกกก เพราะเป็นแขกแค่ 2 คนของวันนี้ด้วย”
ลัคกี้ หัวเราะเราที่อยู่ๆก็ได้เป็นแขก VIP ของโรงแรมแบบไม่รู้ตัว
“ลิเดียยยย พนักงานทั้งโรงแรมมารอรับพวกยูด้วยอ่ะ”
ใช่ค่ะ ลัคกี้ยังแซวเราไม่เลิก แล้วก็จริงดังที่ลัคกี้ว่า พนักงานทั้งโรงแรมออกมาคอยรับเราที่เป็นแขกแค่สองคนของคืนนี้ อยู่ๆก็เป็น VIP แบบ งงๆ
“ลัคกี้ พนักงานโรงแรมนี้เยอะเนอะ จากการประมาณจากสายตาน่าจะประมาณ 15 คนได้มั้ง”
“เยอะจริงครับ และเป็นผู้ชายทั้งหมดด้วยนะ”
“เดี๋ยวไอจะอยู่เป็นเพื่อนพวกยูก่อนนะ พวกยูจะได้สบายใจ”
“ขอบคุณนะลัคกี้”
คืนนี้ในนูบร้าเราจะพักที่ Nubra Ecolodge
เราหาโรงแรมนี้เจอจาก อโกด้าค่ะ ซึ่งเคยมีคนไทยมาพักเยอะแล้ว และให้คะแนนรีวิวไว้เยอะเลยค่ะ เราเลยตัดสินใจว่าจะพักที่นี่สำหรับคืนนี้
เราจองผ่านอโกด้ามาในราคา 1900 บาท /คืน ซึ่งต้องมาลุ้นกันว่าราคาที่จ่ายไปจะคุ้มมั้ย
ที่พักที่นี่จะเป็นบ้านเป็นหลังๆ อยู่ใกล้ๆกัน วันนี้บ้านที่เราได้พักเป็นบ้านหลังรองสุดท้ายค่ะ หน้าบ้านจะมองเห็นภูเขามาจากบนเตียงนอนเลยนะ โรแมนติกสุดๆ
“ลิเดียๆ มาดูด้านในสิ สวยนะ ห้องน้ำสบายด้วย ไอว่ายูคิดถูกที่จองที่นี่นะ”
ในขณะที่เรากำลังถ่ายรูปวิวอยู่ด้านหน้า ลัคกี้ตะโกนเรียกให้เราเข้าไปดูด้านใน เพราะราคา 1900บาท/คืน ถือว่าเป็นที่พักราคาสูงของในนูบร้าละค่ะ แต่ลัคกี้ยืนยันว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป เพราะมันดูดีกว่าที่อื่นเยอะเลย
ภายในห้องจัดไว้ดูดีมากค่ะ มีฮีตเตอร์ มีห้องแต่งตัวแยกส่วนกับห้องนอนและห้องน้ำ แต่ที่นี่จะมีไฟฟ้าเฉพาะช่วง 18.00-00.00 น. เท่านั้นนะคะ และตัวห้องพัก WiFi สัญญาณจะมาไม่ถึง จะต้องเดินไปเล่นที่ล็อบบี้แทนค่ะ
หลังจากที่พนักงานของโรงแรมพาเรามาที่ห้อง ก็สอบถามว่าเราจะรับกาแฟมั้ย จะได้เอามาให้ที่ห้องเลย เราเลยตอบตกลง พร้อมกับสั่งอาหารเย็นไปพร้อมกันเลย
ได้จิบกาแฟไป ชมวิวไป โอ้ยยยความสุขเลยละคะ
“ลัคกี้กลับได้แล้ว จะค่ำแล้ว เดี๋ยวขับรถกลับยาก”
“ไอสบายมาก อยากอยู่เป็นเพื่อนพวกยูก่อน”
“ไม่เป็นไร พวกเราโอเค ยูกลับได้เลย”
“โอเคๆ งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ 6 โมงเช้า ตื่นไหวมั้ย”
“ไหวว สบายมาก”
“ไอไม่ได้หมายถึงยู ลิเดีย ยูไอไม่ห่วงเลย แข็งแรงมากกกกกกก”
“5555555555555 ลัคกี้ นี่ชมใช่มั้ย”
มื้อเย็นเราสามารถเลือกได้ว่าจะกินที่ห้องอาหารของโรงแรมหรือกินที่ห้องพัก ส่วนเราเลือกไปกินที่ห้องอาหารค่ะ เพราะจะได้ใช้ WiFi ด้วย
เราสั่งอาหารไป 2-3 อย่าง ก็เหมือนเดิมค่ะ ปริมาณเยอะมาก และรสชาติอร่อย และพิเศษมากสำหรับที่นี่บริการดีเว่ออออออออออ (นี่ถ้าอยู่เมกา เริ่มใจคอไม่ดี บริการดีขนาดนี้ต้องทิปขนาดไหนนนน)
Day 4
เราตื่นตั้งแต่ตี 5 เมื่อคืนหลับสบายมากกกกกกกกกกกกกก เรารู้สึกตัวตอนกลางดึก เพราะเสียงของลมที่พัดแรงมากๆ จนเกิดเสียงดัง แต่ด้วยเตียงนุ่มและดูดวิญญาณมาก ทำให้เป็นอีกคืนที่สบายๆมากของทริปนี้
6.00 น. ลัคกี้มารับตามที่นัดกันเอาไว้ เราจัดการเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก พร้อมเดินทางไกลสำหรับวันนี้
“มอนิ่งครับบบบบ ไอเอา กาแฟมาฝากทุกคนด้วยนะ”
“ขอบคุณมากลัคกี้”
“วันนี้เราจะนั่งรถกันยาวหน่อยนะครับ อาจจะต้องทำเวลาบางช่วงนะ เพราะระยะทางไกลจริงๆ และถนนไม่ดีเท่าไหร่นะครับ”
“รับทราบบบบบ”
วันนี้เป็นวันเที่ยววันสุดท้ายของเราในทริปนี้แล้วค่ะ และจุดหมายปลายทางของเราในวันนี้คือ Pangong Lake
“เส้นทางไปทะเลสาบปันกอง ไปได้สองทางนะครับ ทางแรกต้องผ่านเลห์ อีกทางคือเส้นที่เราจะใช้วันนี้ ไม่ผ่านเลห์ แต่ทางจะลำบากหน่อยนะ”
“โอเคคค”
“เหมือนเดิมนะ ถ้าอยากแวะถ่ายรูปตรงไหน บอกนะ”
“รับทราบบบบ”
“ลัคกี้ อยากแวะถ่ายรูปปปปปปปปป”
“ได้ครับบ”
นั่งรถออกมาได้ไม่นาน เราก็เริ่มขอให้ลัคกี้หยุดรถเพื่อลงไปถ่ายรูป
ลัคกี้คงคิดในใจว่า วันนี้มันจะให้จอดอีกกี่สิบครั้งนะ
ลัคกี้ปล่อยให้เราได้ถ่ายรูปเล่นอยู่หลายนาที
“ไปต่อนะ”
“โอเคคค”
“ลัคกี้งานเยอะมั้ยแต่ละเดือน”
“บางเดือนก็เยอะครับ บางเดือนก็น้อย”
“แต่ดูจากการต้องตอบข้อความลูกค้าที่ติดต่อมาตลอดเวลา งานเยอะ เงินแยะ แน่นอน”
“ป่าวเลยยยย ไอทำงานแค่ 6 เดือนเองนะ เงินที่ได้ตอนนี้ก็ต้องเก็บไว้ใช้ตอนที่ไม่ทำงานด้วย”
“ทำงานแค่ 6 เดือนเองหรอ”
“ครับ เพราะด้วยช่วงท่องเที่ยวของเลห์ด้วย เลยทำงานได้แค่ 6 เดือน แต่ก็ดีนะ ไอจะได้มีเวลาไปทำอะไรที่ตัวเองชอบ ถ้าเงินเยอะหน่อยก็เอาไปเที่ยวได้ ทำงานแบบนี้สบายใจดีครับ”
“ดีจัง”
วันนี้เราต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเป็นส่วนใหญ่ เราเลยมีโอกาสได้คุยเรื่องชีวิตส่วนตัวกับลัคกี้ มันทำให้เราชอบวิธีคิดของคนที่นี่ เขาใช้ชีวิตกันแบบสบายๆ ไม่ต้องแข่งขันให้มันมากไป หาความสุขให้ตัวเองบ้าง พักบ้าง เงินไม่ต้องมีมาก ขอแค่มีความสุขให้เยอะก็พอ
ตลอดทางลัคกี้ชี้โน้นนี่ให้เราดูตลอด วิวนอกหน้าต่างรถมันสวยเกินที่จะหลับลงจริงๆค่ะ
“ลัคกี้ๆๆ วิวนี้สวย อยากถ่ายรูปปปปปปป”
“ได้ครับบบ”
วิวตรงนี้สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แทบไม่อยากเชื่อตัวเองว่าอยู่ประเทศอินเดีย
แค่วิวนี้เราก็รู้สึกได้แล้วว่า มันคุ้มค่ามากทริปนี้ ไม่ต้องมีวันเยอะก็ได้ เอาที่เรามีความสุขก็พอแล้ว
“ลัคกี้ ไอขอลองขับรถหน่อยได้มั้ย”
“ตอนนี้หรออ”
“ใช่ตอนนี้ หน่า ไอขับรถเก่งนะ ไออยากลองที่นี่ดู นะๆๆ”
ลัคกี้หันมามองหน้าเรา ขอความเห็น เพราะแฟนเราพึ่งจะขอลองขับรถลัคกี้หน่อย
สุดท้ายลัคกี้ก็ยอมค่ะ และเปลี่ยนมานั่งตัวเกร็งอยู่ข้างคนขับแทน ฮ่าาาาาาาาา
แฟนเราขับรถไปได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ต้องยอมแพ้ เพราะมันเหนื่อย ขับในทางแขบๆและไม่ชินทางแบบนี้ เราเลยได้โอกาสลงมาถ่ายรูปเล่นอีกแล้วววว
“ลัคกี้ๆ อยากไปถ่ายรูปข้างหน้าอ่ะ ตรงนี้มันเห็นภูเขาไม่ชัด”
“ได้ๆครับ งั้นขึ้นรถ เดี๋ยวไปจอดให้ข้างหน้าครับ”
ลัคกี้ใจดีสุดดดดดดดดดดดดด
เรานั่งรถต่อมาอีกพักใหญ่ๆ ตอนนี้เวลาก็ล่วงมาจะ 9 โมงละค่ะ
“เดี๋ยวข้างหน้า เราจะต้องจอดรถเพื่อให้ขบวนรถของลามะ (พระ) ผ่านนะครับ”
“รับทราบบบบ”
“พวกยูโชคดีมากเลยนะ ที่ได้เห็นขบวนแบบนี้”
“สาธุ”
“เดี๋ยวขับรถจากตรงนี้ต่อไปสักพัก เราจะแวะกินกาแฟกันนะครับ”
“รับทราบบบ”
ยิ่งวันหลังๆของทริป เรายิ่งสนิทกับลัคกี้มากขึ้น ลัคกี้ก็ยิ่งจะแสนดีกับเราาาาาา อีกกกกกกกกกก
วันนี้ลัคกี้อาสาเอากาแฟร้อนมาเผื่อเราทั้งสองคนด้วย พร้อมกับต้มไข่มาเผื่อเราด้วยค่ะ กลัวเราจะหิวกันเพราะว่าเดินทางไกลมากจริงๆ แล้วระหว่างทางก็แทบไม่มีร้านค้าอะไรเลย
เป็นการแวะกินกาแฟที่ชิวดีเหมือนกันค่ะ ด้านหน้ามีธารน้ำไหลพร้อมกับหุบเขาก็โอบล้อมเอาไว้
“ลัคกี้ ใครสอนพูดภาษาไทยหรอ”
“ไอมีหนังสือนะ ไอเรียนด้วยตัวเอง บวกกับเวลาลูกค้าคนไทยมาไอก็จะได้ฝึกไป”
“เก่งมากกกกกกกก”
“ลิเดีย ยูว่าเลห์สวยมั้ย”
“สวยมากกกกกกก ชอบนะ”
“ยูต้องมาให้ได้ทุกฤดูนะ แล้วยูจะหลงรักเลห์”
“จะพยามมาให้ได้ทุกฤดูนะ”
เราไม่ได้บอกลัคกี้หรอกค่ะว่า ขนาดเรามาแค่ฤดูเดียว เราก็หลงรักเลห์แล้วววววว เข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆก็อยากมาเลห์ ลาดัก
การออกเดินทางสำหรับเรา แค่เราได้ออกจากชีวิตแบบเดิมๆ ได้ออกมาดูโลกกว้างใบนี้ มันก็เป็นความสุขที่สุดของทุกการเดินทางของเราแล้วล่ะ
เราใกล้จะถึงทะเลสาบปันกองละนะ เห็นวิวใกล้ๆนั้นมั้ยยยย
นั้นแหละ ทะเลสาบปันกองงงงงงงงงงงงงง
Pangong Lake (Pangong Tso)




เสียดายวันที่ไปไม่ได้ลองชิมว่าเค็มแค่ไหน เพราะน้ำมันเย็นมากกกกกกกกกก บางส่วนยังเป็นน้ำแข็งอยู่เลย
ความกว้างของเทือกเขาที่เป็นฉากหลังของทะเลสาบแห่งนี้ เลนส์ซุปเปอร์วายของเราก็ไม่สามารถเก็บภาพได้หมด เราเลยทำได้แค่การยืนนิ่งๆแล้วซึมซับธรรมชาติแทนการยกกล้องขึ้นมา