ชัมบาลา เส้นขอบฟ้า ไม่เหมือนฝัน

เมื่อผู้หญิงที่เป็นโรคกลัวจีน ตัดสินใจเดินทางไปจีน เพียงเพราะต้องการตามหา “ชัมบาลา” ของตัวเอง 

เราเป็นโรคกลัวจีนค่ะ โรคที่ว่านี้มีอาการคล้ายๆกลัวผี ยังไม่เคยเห็น ยังไม่เคยสัมผัสก็คิดไปสารพัด ยังไม่เคยเจอก็กลัวเพราะคำบอกเล่า แต่ครั้งนี้เราจะพาตัวเองข้ามผ่านความกลัว เพราะเราอยากเดินทางไปดินแดนที่ใครๆก็บอกว่า เป็น The Last Shangri-la และสถานที่แห่งนี้จะทำให้เราได้เจอ “ชัมบาลา”

“ชัมบาลา” บางคนบอกว่ามันคือสถานที่ๆเราทุกคนจะต้องกลับไปก่อนลาจากโลกมนุษย์เพื่อค้นหาความสงบและตัดขาดจากโลกภายนอกและสถานที่แห่งนั้นสวยดังสรวงสวรรค์ แต่บางคนบอกว่า “ชัมบาลา” แท้จริงแล้วคือภาวะยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง มันคือศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวมนุษย์เราทุกคน อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เราจะหามันเจอเท่านั้นเอง 

ดังนั้น “ชัมบาลา” ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจึงออกเดินทางเพื่อตามหา “ชัมบาลา” ของตัวเอง

แผนการเดินทางทั้งหมด 

เราจะเดินทางทั้งหมด 9 วัน

Day 1 : เดินเล่น Kunming นอนสนามบิน

Day 2 : นั่งเครื่องจาก Kunming ไป Shangrila  นอน 1 คืน

Day 3 : นั่งบัสไป Daochen นอน 1 คืน

Day 4 : อยู่บนอุทยาน Yading (นอน)

Day 5 :  อยู่บนอุทยาน Yading (นอน)

Day 6 : นั่งรถจาก Yading กลับ Shangrila นอน 1 คืน

Day 7 : ไป Lijang นอน 1 คืน

Day 8 : เที่ยว Lijang นั่งรถไฟนอนกลับ Kunming

Day 9 : Kunming กลับ BKK

สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับทริปนี้

เปิดใจให้กว้าง อย่าอคติว่านี่คือประเทศจีน  แล้วที่เหลือก็ปล่อยให้โชคชะตาและสถานการณ์พาไป

นับถอยหลัง

ทริปนี้เป็นการเดินทางไปจีนครั้งแรกอย่างที่เราบอกไปแล้ว แต่เรากลับไม่มีความตื่นเต้นเหมือนทริปอื่นๆที่ผ่านมาเลยค่ะ  ความตื่นเต้นที่ควรมีมันถูกแทนที่ด้วยความกังวล ความกังวลที่ว่ามันไม่ใช่แค่จากโรคกลัวจีนที่เราเป็น เพราะตอนนี้เรากังวลเยอะแยะไปหมด ทั้งจะสื่อสารรู้เรื่องมั้ย เพราะเราพูดจีนไม่ได้สักคำ จะเดินทางได้แบบที่วางแผนไว้ได้มั้ย เพราะเส้นทางที่เราเลือก บางช่วงไม่มีรถประจำทาง ซึ่งเราต้องหารถเหมาเอง  แล้วเงินที่จะแลกไปจะพอรึป่าว แล้วอากาศก็หนาวมากด้วย เสื้อผ้าที่เตรียมไว้จะรอดมั้ย แล้วเราต้องเดินขึ้นเขา ร่างกายเราจะไหวรึป่าว (ก่อนเดินทางเราผ่านไส้ติ่งมาก่อนประมาณ 3 สัปดาห์นะคะ) บอกเลยว่าเรากังวลทุกอย่างงงงงงงงงง ทุกอย่างงงงงงงงงง และทุกอย่างงงงงงงงงงงงงงงงงงง

ต้องมีคนคิดแน่ๆว่ากังวลขนาดนี้ นอนอยู่บ้านมั้ย จะไปทำไมมมมมม  !!!

ความกังวลมันไม่สามารถจะทำให้ความกล้าที่จะอยากไปเจอโลกกว้างของเราลดลงเลยค่ะ และแน่นอนค่ะ เราจะไป ถึงแม้จะพูดภาษาจีนไม่ได้สักคำเลยก็ตาม

Let’goooooooo

ไม่มีการนับถอยหลังอีกแล้ว หลังจากนี้จะมีแค่การนับเวลาเพื่อเดินหน้าต่อไปจากนี้อีก 9 วัน ในประเทศจีน

09.45 น เราอยู่บนเครื่องของสายการบิน Air Asia ที่กำลังมุ่งหน้าสู่นครคุนหมิง ประเทศจีน  พร้อมกับประกาศของกัปตันบอกว่า เราจะถึงปลายทางในอีก 1 ชม

36

Day 1 

ครั้งนี้เราเดินทางกับเพื่อนสนิท1คน (ที่หลอกมาสำเร็จ 5555)

11.20 น ตามเวลาประเทศจีน เราก็มาถึงสนามบินคุนหมิงเรียบร้อยค่ะ

การเดินทางครั้งนี้เราเลือกเดินทางในเส้นทาง

Kunming > Shangrila  > Daochen > Yading > Lijang > Kunming

เมื่อมาถึงสนามบินของจีนก่อนจะต้องออกไปสู้กับความจริง เราต้องมาเช็คก่อนว่าเรามี Internet พร้อมใช้รึยัง เพราะความพิเศษของเส้นทางนี้คือ Internet ของคุณนั้นอาจจะไม่อยู่กับคุณถาวร  ลืมเรื่องจากเช่า Poket Wifi ไปจากไทยได้เลยค่ะ เพราะแพงแล้วเน็ตเล่นไม่ได้ทุกวัน มันไม่คุ้ม  ซึ่งถ้าให้ไปหาซื้อซิมที่จีน ก็กลัวพูดไม่รู้เรื่อง กว่าจะเข้าใจกัน ยุ่งยากแน่นอน  ดังนั้นสิ่งที่เราเลือกคือ การซื้อซิมสำหรับใช้ได้ที่จีน ของค่าย ทรู มานั้นเอง ราคา 499 บาท ใช้ได้ 8 วัน  เราต้องมาลุ้นกันค่ะ ว่าซิมทรูจะ Very Good รึป่าว

เมื่อรูปใน Passport กับตัวจริงไม่ตรงกันแล้วต้องผ่าน ตม จีน 

ของเราเองไม่มีอะไรค่ะ ตม จีน ไม่ถามอะไรสักคำ ง่ายมาก แต่เพื่อนเรานางตัดผมสั้นแต่รูปใน Passport นางผมยาว ตม ดูนานมาก แถมถามนางเป็นภาษาจีนอีก แล้วเพื่อนเราก็ฟังจีนไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้เรื่อง ตม คงไม่รู้จะทำไงค่ะ เลยให้ผ่านมาแบบ งงๆค่ะ

34

ผ่านมาแล้วก็มารอรับกระเป๋ากันค่ะ เมื่อได้กระเป๋าแล้วก็ลากไปหาที่ฝากในสนามบินกัน เคยอ่านเจอใน Pantip เราก็เดินหาประมาณ 2 รอบก็หาไม่เจอ ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ในสนามบินค่ะ ซึ่งเราไม่ได้พูดกับเขาหรอกนะคะ เราแค่ยื่นภาพที่เราปริ้นในกระดาษมา แล้วเขาก็ชี้ให้เราเดินไป แล้วในที่สุดเราก็เจอค่ะ แต่ แต่ มันปิดค่ะ  (โอ้ยยยยยย เพิ่งถึงจีนยังไม่ครบ ชม ฟ้าดินก็กลั่นแกล้งดาวอีกแล้ววว)  สุดท้ายปรึกษากันว่า เราจะเอาไปฝากแถวๆสถานีรถไฟค่ะ เพราะอ่านเจอมา(อีกแล้ว)ว่าแถวนั้นมี ตรงไหนไม่รู้เหมือนกัน ค่อยไปว่ากัน

แต่ตอนนี้เราต้องออกจากสนามบินก่อนค่ะ เราเลือกเดินทางด้วยรถ Shutter Bus ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วได้ด้านหน้าของสนามบินขาเข้านั้นแหละค่ะ ให้ออกตรงประตู 3-4 แล้วให้มองหาตู้ที่มีคนต่อแถวซื้อตั๋วก็ตรงนั้นเลยค่ะ  ก่อนมาเราท่องภาษาจีนในคำที่คิดว่าได้ใช้แน่ๆมา 3 คำค่ะ แล้วตอนนี้เราก็กำลังจะได้ทดลองใช้คำแรกที่ท่องมา

เราบอกพนักงานขายตั๋วสั้นๆว่า “หัวเซอจ้าน”  ซึ่งแปลว่าสถานีรถไฟ

เย้ พนักงานเข้าใจเราด้วย ถือว่าทักษะการเอาตัวรอดขั้นแรกกับภาษาจีนคำแรกของเราสอบผ่าน 

เราจ่ายเงินให้พนักงานไปคนละ 25 หยวนสำหรับค่าตั๋วเข้าเมือง เมื่อได้ตั๋วมาแล้ว ก็ให้เดินไปฝั่งตรงข้ามกับที่เราซื้อตั๋วจะมีรถจอดรออยู่ค่ะ ถ้าไม่แนใจว่าต้องขึ้นคันไหน ก็ยื่นตั๋วในมือเราให้พนักงานดูค่ะ เขาจะบอกเราเอง

35

เมื่อขึ้นมาบนรถก็จะมีเหมือนแอร์สาวแต่อยู่บนรถ Shutter Bus มีสายสะพายสีแดงขาดตัว ในรถคันนั้นเรากับเพื่อนดูจะเป็นต่างชาติแค่ 2 คน บนรถ แอร์สาวก็ได้แค่ส่งยิ้มหวานๆมาให้เรา แต่ไม่มาถามใดๆเราสักคำ สงสัยดูหน้าก็รู้ว่าไม่น่าคุยกันรู้เรื่อง  นั่งรถมาเรื่อยๆประมาณ 40 นาที ให้เราถึงป้ายสุดท้ายสุดสายที่หน้าโรงแรมอะไรสักอย่าง

สำหรับคนที่ฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่อง อ่านก็ไม่ออกแบบเรา ให้สังเกตว่าป้ายสุดท้ายที่มีคนลงกันเยอะๆ ก็คือป้ายนั้นเลยค่ะ จะเป็นหน้าโรงแรมอะไรสักอย่างซึ่งเราลืม (ดาวขอโต้ดดดดดด)  ลงมาจากรถแล้วให้เดินทางไปขวามือนะคะ (หันหน้าออกถนน หันหลังให้โรงแรม) เดินมาเรื่อยๆไม่ถึง 10 นาที ก็จะมาถึงสถานีรถไฟคุนหมิงค่ะ

37

ซึ่งตอนนี้เราก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าร้านฝากกระเป๋าอยู่ตรงส่วนไหนของสถานีรถไฟ รู้เพียงว่าคงจะอยู่ด้านนอก เราก็เลยลองเดินไปฝั่งขวามือ (ให้หันหน้าเข้าหาสถานีรถไฟ) แล้วเดินไปเรื่อยๆค่ะ จะเจอเหมือนธนาคาร แล้วก็ร้านขายของ ซึ่งเมื่อเราไปถึงตรงนั้น หันซ้ายหันขวา ก็ไม่เห็นจะมีร้านฝากกระเป๋าเลย  แต่จู่ๆ ก็มีอาเจ้มาเรียกเราค่ะ แล้วชี้มาที่กระเป๋าเรา แล้วก็เดินมาลากกระเป๋าเราไป ที่หน้าร้านอาเจ้ ซึ่งตอนนั้นละค่ะ เราถึงได้เข้าใจว่า อาเจ้หมายถึง อาเจ้รับฝากกระเป๋านะ  อาเจ้บอกว่าร้านปิดตอนเที่ยงคืนนะให้มารับกระเป๋าก่อน  เราฝากกระเป๋าทั้งหมด 3 ใบ อาเจ้คิดราคา 45 หยวนค่ะ

ราคาฝากกระเป๋าข้างสถานีรถไฟคุนหมิง : 15หยวน/ใบ

เวลาฝาก : 6.00-24.00 น 

63.jpg38

ฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็หาทางจะไปจตุรัส Jin Bi Square กด Google ดูแล้วไกลใช้ได้เลยค่ะ เลยหารถแถวนั้น ก็มีลุงจอดรอลูกค้าอยู่ เราเลยเอารูป Jin Bi Square ให้ลุงดู ลุงพยักหน้า แล้วก็เอาแบ็งค์ขึ้นมาให้เราดูว่าราคาเท่านี้นะ  ซึ่งลุงคิดเรา 15 หยวน เราก็เลยตกลงให้ลุงไปส่งเราค่ะ  นั่งไปประมาณ 10 นาที ลุงก็ส่งเราที่ Jin Bi Square

39404541

วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะอยู่ที่คุนหมิงค่ะ วันนี้เราไม่มีแพลนอะไรพิเศษ เพราะเป็นวันที่เรามารอเวลาที่จะเดินทางไปShangrilaเท่านั้น เราเลยตกลงกับเพื่อนร่วมทาง (ที่หลอกมาสำเร็จ คิคิ) ว่าวันนี้จะเป็นวันที่ชิลที่สุดในทริป  เราจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินสำรวจ นั่งมองวิถีชีวิตของคนคุนหมิง 

วันที่เราไปถึงเป็นวันที่ไม่มีแดดเลยค่ะ อากาศครึ่มทั้งวัน และเมื่อเรามาถึง Jin Bi Square ฝนก็เริ่มมาด้วยสิค่ะ จนต้องหาที่หลบ บวกกับเริ่มหิวละด้วย แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับ Mcdonald อาหารคุ้นเคยของเรา มื้อแรกบอกตรงๆว่ายังไม่กล้าลองอาหารจีนค่ะ แถมกลัวคุยไม่รู้เรื่องด้วยสิ

Mcdonald ใกล้ๆ  Jin Bi Square เหมาะมากที่จะเป็นจุดปักหลักในการนั่งมองผู้คน พักเหนื่อย หลบฝน หลบแดด แถมห้องน้ำสะอาดโอเคเลยค่ะ

42

หลังจากทานอะไรกันเรียบร้อยแล้ว  นั่งมองผู้คนไปเรื่อยๆระหว่างรอฝนหยุด  แล้วในที่สุดฝนก็หยุด (ขอบคุณฟ้าฝนที่สงสารดาวที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงจีน) ก็ได้เวลาออกไปสำรวจ Jin Bi Square เราว่าที่นี่ให้อารมณ์คล้ายสยามบ้านเราเลยค่ะ เดินเล่นเพลินๆ เข้าห้างโน้น ออกห้างนี่ไปเรื่อยๆ

43.jpg44.jpg46474849515250

หลังจากเข้าห้างโน้น ออกห้างนี่จนเหนื่อย เราก็เริ่มมองหาขนม เพราะอยากกินขนมเหมือนเวลาไปญี่ปุน เดินหาแล้วหาอีก ก็เจอแต่ร้านหม่าล่า มันไม่มีขนมแบบญี่ปุ่นเลย  สุดท้ายเดินไปมาจนไปเจอร้านขายไอติมร้านนึงค่ะ ระหว่างที่เรากำลังต่อแถวซื้อไอติมกันอยู่ ก็มีเสียงคนพูดภาษาไทยอยู่ด้านหลัง ถามเราว่า “คนไทยรึป่าวค่ะ”   เราหันกลับไปตามเสียงก็เจอน้องๆคนไทยกลุ่มนึง  คุยกันยาวจนได้ความว่าน้องๆมาแลกเปลี่ยนระยะสั้นที่คุนหมิง 3 เดือน น้องๆมาจากหลายจังหวัดจากภาคอีสาน คุยกันสนุกเลย น้องๆคือคนไทยกลุ่มแรกที่เราได้เจอของทริปนี้

53.jpg54.jpgถ้าน้องๆมาเจอรูปนี้ ขอบคุณมากนะที่มาทักพวกพี่

คุยกับน้องๆเสร็จก็ถึงเวลาอำลากัน เราก็ไปเดินสำรวจต่อ น้องๆก็ไปเดินช้อปปิ้งกันต่อ  การเดินทางมาต่างประเทศ เวลาที่เราได้เจอคนไทย เจอคนบ้านเดียวกัน มันรู้สึกอุ่นใจเพราะอย่างน้อยเราก็พูดภาษาเดียวกัน

หลังแยกจากน้องๆเราก็มาเดินสำรวจกันต่อให้ เดินกันไปเรื่อยๆ ท้องก็เริ่มหิวอีกแล้ว ก็มาเจอกับเนื้อย่างหม่าล่าหอมๆอยู่ริมถนน ก็เห็นคนจีนแวะซื้อกันเยอะ เราก็เลยของลองหน่อยค่ะ ว่าจะอร่อยเหมือนกลิ่นหอมที่กำลังชวนให้หิวอยู่มั้ย

55.jpg56รสชาติอร่อยมากค่ะ

หนึ่งวันของเราในคุนหมิงหมดไปกับการเดินไปเดินมา ได้มองวิถีชีวิตของผูู้คนในเมืองมันก็เพลินไปอีกแบบ

5857.jpg59

พรุ่งนี้เราจะเดินทางไป Shangrila หรือ เมือง จงเตี้ยน (คนจีนจะเรียกเมืองนี้ว่า แชง-เกอ-ลี-ล่า) เนื่องจากเรามีเวลาเดินทางแค่ 9 วัน เราเลยเลือกเดินไป Shangri-La ด้วยเครื่องบินภายในประเทศ หรือถ้าใครคิดว่าค่าตั๋วเครื่องในประเทศอาจจะแพงก็สามารถเลือกเดินทางด้วยรถบัสนอนจากคุนหมิงไปเช้าที่ Shangrila ได้เหมือนกันค่ะ

ส่วนเราคืนนี้เลือกที่จะนอนในสนามบินคุนหมิง เพราะพรุ่งนี้มีบินไปเที่ยวบิน 7.05 น เรากลัวเราจะตื่นไม่ทันค่ะ เราเคยมีประสบการณ์บินในประเทศตอนไปญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นเราไปนอนในเมือง ตอนเช้าเราตื่นไม่ทัน หา-ยะ-นะ มากกกกกกกกกกก ค่ะ ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด รอบนี้เราเลยไม่ประมาท ตอนนี้ในสนามบินมันซะเลย

สก๊อยในคุนหมิง

20.20 น

เราเดินไปเดินมา จนไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ไหน จะเดินกลับไปจุดเดิมก็ไกล ก็เลยออกไปยืนริมถนนเพื่อที่จะ Taxi กลับยังสถานีรถไฟคุนหมิง แต่ก็ไม่มี Taxi ผ่านมาเลยค่ะ รออยู่จะ 10 นาทีละ อากาศก็หนาวมากขึ้นเรื่อยๆ

แล้วจู่ๆก็มีอาเฮียคนหนึ่งขับรถมอไซค์มา ถามเราเป็นภาษาจีน ซึ่งเราฟังไม่รู้เรื่อง อาเฮียพูดใหม่ มีคำว่า Taxi Taxi เราเลยพยักหน้าว่า ใช่  อาเฮียก็พูดภาษาจีนอีก คราวนี้เราเดาว่า น่าจะหมายถึง จะไปลงที่ไหน  เราเลยบอกว่า หัวเซอจ้าน อาเฮีย ทำหน้า งงๆ เราเลยพูดช้าๆจัดๆอีกครั้งว่า “หัว เซอ จ้าน” คราวนี้อาเฮียเข้าใจเราละค่ะ เฮียบอกขึ้นมาเลย

แล้วตอนนี้พวกเรากำลังซ้อนมอไซค์ในจีนค่ะ เฮียแกก็ขับมาเรื่อยๆ จนมาเจอทางแยกไฟแดงใหญ่ มีตำรวจจราจรอยู่ตรงนั้นด้วย อาเฮียเห็นแบบนั้น ก็จอดเลยค่ะ แล้วก็บอกให้เราซึ่งนั่งคนหลังสุดให้ลงๆๆ เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไม จะไม่ยอมลง แต่อาเฮียบอกว่าต้องลงๆๆๆ  เราก็เออๆๆ ลงก็ลง แล้วก็มาเข้าใจว่า อ๋อ ซ้อนสามตำรวจจับแบบบ้านเราแน่เลย อาเฮียให้เราเดินผ่านแยกนั้นมาเอง แล้วไปจอดรอเราที่เลยสี่แยกไปแล้ว  เราก็เดินมาซ้อนรถต่อ อาเฮียพยามอธิบายเราว่า ถ้าไม่ลงตำรวจจะจับ เลยให้ลงไป 1 คน เราก็ อือๆ เข้าใจแล้ว อารมณ์ตอนนั้นคือทั้งตื่นเต้น ทั้งตลกตัวเอง

นั่งรถต่อไปเรื่อยๆ จนสามารถมองเห็นสถานีรถไฟอยู่ไกลๆแล้ว  อาเฮียคนขับก็ถามว่าด้านหน้าใช่มั้ย เราบอกว่าใช่ๆ  แล้วอาเฮียก็จอดรถอีกค่ะ คราวนี้ไม่มีตำรวจจะจอดทำไมอีกเฮีย !  แล้วเฮียแกก็ให้เราจ่ายตังค์ก่อนค่ะ เราว่าไม่ได้ต้องไปส่งก่อนสิ เฮียไม่ยอมค่ะ บอกว่าให้จ่ายก่อน เถียงกันอยู่สักพักเราก็ เออๆจ่ายก็จ่าย เลยให้ไป เฮียรับเงินเราปุ้บก็บอกให้เราขึ้นซ้อนต่อ  โห เฮีย ! จะหน้าเลือดอะไรขนาดนี้เลยเนี่ย  แล้วอาเฮียก็ขับรถพาเราไปต่อค่ะ แล้วจู่ๆเฮียก็จอดอีก ตรงก่อนจะถึงสถานีรถไฟ อีก 1 ไฟแดง เราเลยถามว่าจอดทำไม เฮียบอกว่า ส่งตรงนี้นะ เพราะเข้าไปไม่ได้ในนั้นตำรวจจับ เราก็อะไรว้ะ เฮีย เถียงกับเฮียอีกจนในที่สุดเราก็ยอมแพ้ ก็เลยลงตรงนั้น เพราะเดินไปอีกประมาณ 3 นาทีก็ถึง

แล้วเราก็ลงจากรถเดินมายังหน้าสถานีรถไฟเอง แต่เมื่อเรามาถึงหน้าสถานีรถไฟ ก็เจออาเฮียคนเดิมขับรถมาหาลูกค้าที่หน้าสถานีรถไฟ ไหนบอกตำรวจไม่ให้เข้าไง เฮียยยย !!!   ตอนนั้นถามว่าเซ็งมั้ยที่เจอแบบนี้ ตอบตรงๆก็มีเซ็งบ้างอะค่ะ แต่ไม่มาก เพราะตอนนั้นเราก็ทั้งตลกตัวเอง ทริปมีรสชาติตั้งแต่ยังไม่พ้นคุนหมิงเลย

เราเดินมาเอากระเป๋าที่ฝากเอาไว้เมื่อเช้าเสร็จแล้วก็เดินกลับมายังจุดขึ้นรถ Shutter Bus จุดเดียวกับขามาเมื่อเช้าเลยนะคะ มาถึงแล้วจะมีตู้ขายตั๋ว แล้วก็มีรถจอดรออยู่ค่ะ เราก็เจอไปซื้อตั๋วบอกคนขายว่า Airport 2 คน ก็ได้ตั๋วมา 2 ใบ พร้อมจ่ายเงินไปในราคา 50 หยวน ( คนละ 25 หยวน )

61.jpg6062.jpg

นั่งรถมาประมาณ 45 นาที เราก็มาถึงสนามบินคุนหมิง  Shutter Bus จะมาส่งเราที่อาคารผู้โดยสารขาออก นะคะ ซึ่งเราก็เลยหาที่นอนบริเวณใกล้ๆกับ เค้าท์เตอร์ Check- in ของสายการบินต่างๆ ตอนเราไปก็มีคนจีนจับจองเก้าอี้อยู่เยอะเลยค่ะ ก็เดินหาเรื่อยๆ จนมาเจอบริเวณที่ว่าง เราเลยนั่งเล่นอยู่ตรงนั้น แต่นั่งได้ไม่ได้ พี่จีนก็ทยอยมาตรงนั้นกันเรื่อยๆ เริ่มเสียงดัง เลยคิดว่าถ้าอยู่ตรงนี้คงไม่ได้นอนแน่ๆ เลยเดินหาใหม่ค่ะ ที่เราจะสามารถนอนได้ แล้วในที่สุดเราก็เจอที่เหมาะในการนอนบริเวณใกล้กับ เค้าเตอร์ Check – in ของ Air Asia และ การบินไทย ตรงนั้นจะมีนักท่องเที่ยวมานอนค้างกันเยอะ และสวนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง รู้สึกดีขึ้นเยอะ

สนามบินคุนหมิงไม่ได้มีเที่ยวบินตลอดเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิบ้านเราค่ะ ซึ่งเที่ยวบินสุดท้ายประมาณ ตี 1 ครึ่ง แล้วหลังจากนั้นสนามบินจะประกาศให้คนออกจากพื้นที่แล้วก็ปิดไฟค่ะ  แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นก็ไม่มีใครยอมเคลื่อนตัวเองออกจากสนามบิน เพราะมีทั้งคนจีนเองและนักท่องเที่ยวมานอนในสนามบินกันเยอะเลยค่ะ ขอแค่ให้หาโซนที่ปลอดภัยหน่อย มองหานักท่องเที่ยวด้วยกันเข้าไว้จะดีที่สุด

ก่อนนอนคืนนี้เราไม่ลืมกินยา Diamox เพราะพรุ่งนี้เราต้องขึ้นที่สูงกันแล้ว การขึ้นสู่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลเยอะๆอาจจะส่งผลให้มนุษย์พื้นราบแบบเราให้เกิดอาการข้างเคียงได้ ไม่่ว่าจะปวดหัว ไม่ค่อยอยากอาหาร และอีกหลายอาการ สำคัญที่สุดเราต้องสังเกตตัวเอง ไม่ฝืนตัวเอง และการกินกินยาเพื่อปรับร่างกายเป็นจริงที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ 

ค่ำคืนแห่งความทรมาน

คืนแรกของเราในจีน เป็นคืนที่แทบจะไม่ได้นอน

ส่วนตัวเราเป็นคนไม่ได้หลับยาก แต่ตื่นง่ายมากกกก นั้นแหละค่ะ มันเป็นปัญหากับเรามากกก เพราะถึงแม้เราจะหาที่นอนได้ แต่ใกล้กับที่เรานอนนั้น ดันมีการซ่อมพื้นอาคารด้านใน ซึ่งเสียงดังมากกกกก ดังตลอด ดังต่อเนื่อง แล้วก็จะมีคนจีนผู้ชายเดินไปเดินมา วนแล้ววนอีกตลอดเวลา ซึ่งส่วนตัวเราก็มีแอบรู้สึกว่าจะไม่ปลอดภัยรึป่าว แต่ก็เอาของมีค่าต่างๆนอนกอดเอาไว้  เราว่าปลอดภัยไว้ก่อน น่าจะดีที่สุดค่ะ

ในความโชคร้ายของเราก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะตอนที่กำลังใกล้เคลิ้มหลับก็มีกลุ่มคนไทย 3 คน กำลังมาหาที่นอนด้วยเหมือนกันค่ะ เพราะพี่ๆเขารอบินกลับเชียงใหม่ตอนเช้า ตรงเก้าอี้ที่เรายังพอมีพอที่ว่างให้สามารถแบ่งกันนอนได้ แต่ก็ไม่ได้มากพอสำหรับอีก3คน พี่ๆเขาเลยต้องสลับกันนอน ตอนนั้นแหละค่ะ ที่เรารู้สึกว่าได้นอนหลับจริงๆประมาณ 2 ชม เพราะรู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะเลย  ต้องขอบคุณพี่ๆนะคะ ที่เข้ามาถูกจังหวะพอดี

Day 2 

5.00 น เราตื่นขึ้นล้างหน้า แปรงฟัน จัดการตัวเอง

แล้วไปหาแถว Check – in สำหรับสายการบิน Lucky Air กันค่ะ

เราจองตั๋วผ่าน http://www.ctrip.com  หรือ https://th.trip.com/?locale=th_TH  เราได้ตั๋วเครื่องบิน Kunming – Shangrila มาในราคาคนละ 1650 บาท  แนะนำว่าถ้าใครจะเดินทางด้วยเครื่องบินแบบเราให้เช็คราคาเรื่อยๆนะคะ เพราะเราจองก่อนไป ประมาณ 3 สัปดาห์ แต่หลังจองเสร็จสุดแสนจะเจ็บช้ำ เพราะตั๋วของสายการบิน 5 ดาวโหลดกระเป๋าฟรีดันลดถูกว่าราคาที่เราได้อีกค่ะ เห้อออออออออ

สายการบิน Lucky Air

โหลดกระเป๋าไม่ฟรีนะคะ แต่สามารถซื้อได้ตอนที่ check – in แจ้งไปเลยค่ะว่าเราจะโหลดกระเป๋า  ถามว่าพูดภาษาจีนไม่ได้สื่อสารยังไง ก็ ชี้ไปที่กระเป๋าแล้วชี้ไปที่สายพานโหลดกระเป๋า แค่นี้ก็รู้เรื่องค่ะ (55555 ดาวววว เก่งเรื่องภาษาใบ้มากค่ะ) หรือพูดภาษาอังกฤษเป็นคำๆนะคะ อย่างน้อยเจ้าหน้าที่สนามบินก็จะพยามเข้าใจเราค่ะ

และแนะนำให้มาต่อแถวตั้งแต่เนิ่นๆเลยนะคะ เพราะพี่จีนคนเยอะมาก อาจจะต้องรอแถวนานค่ะ ยิ่งใครต้องโหลดกระเป๋าแบบเราอาจจะใช้เวลาหน่อยค่ะ

หลังจากที่เราแจ้งว่าจะโหลดกระเป๋า เจ้าหน้าที่ของสายการบินก็เขียนข้อความแล้วให้เราเอาพร้อมให้ตั๋วมาด้วย แต่ยังไม่ให้พาสปอร์ตมาค่ะ เราต้องไปจ่ายตังค์ค่าโหลดกระเป๋าที่เค้าเตอร์ของสายการบินก่อน ไม่ไกลจากแถวที่ check – in จ่ายตังค์เรียบร้อยก็กลับมารับพาสปอร์ตเราคืนค่ะ

646566

ก่อนจะผ่านไปยังเกทเราต้องผ่าน Security ก่อนเหมือนปกติสนามบินทั่วไป  แนะนำว่าใครจะเดินทางด้วยเครื่องบินภายในประเทศของจีนให้รีบมาต่อแถวผ่าน Security แต่เนิ่นๆหน่อย เพราะพี่จีนคนเยอะมากกกก ตรวจเข้มมากกกกกกก เราว่าตรวจเข้มกว่าเดินทางต่างประเทศอีกค่ะ เราใช้เวลาประมาณ 30 นาทีกว่าจะผ่าน Security มาได้

67.jpg68.jpg

ระหว่างที่นั่งรอ เราก็ได้เจอกับพี่ๆคนไทยอีกกลุ่มที่กำลังจะบินไฟล์ทเดียวกับเรา ถามไถ่รายละเอียดทริปของแต่ละกลุ่ม เผื่อจะส่วนไหนของทริปนำมาแชร์กันได้  คุยกันได้ไม่นาน สายการบินก็ประกาศเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง

สายการบิน Lucky Air ภายในโอเคมาก เพราะตอนแรกก็แอบหวั่นใจนะคะ ว่าสายการบินในประเทศของจีนจะโอเคมั้ย สายการบินนี้แจกน้ำฟรี 1 ขวดด้วย เราขึ้นมาบนเครื่องจำได้แค่ว่า เครื่องยังไม่ Take off เราก็สลบคอพับไปทั้งคู่แล้วค่ะ แล้วก็รู้เวลาเชียวค่ะตื่นตอนเครื่องกำลังจะ Landing ทำให้การเดินทางด้วยเครื่องบินภายในประเทศของจีนครั้งแรกผ่านไปด้วยดี เพราะหลับอย่างเดียว 5555555555

7069.jpg

หลับหนึ่งตื่นสายการบิน  Lucky Air ก็พาเรามาถึงเมือง Shangrila สนามบิน Diqing Shangri-La Airport เป็นสนามบินเล็กๆ ที่มีภูเขาอยู่ใกล้ๆ แถมเช้านี้เรามาถึงก็อากาศหนาวใช่เล่นเลยค่ะ พี่ๆคนไทยที่เจอกันก่อนขึ้นเครื่องมาก็มารอ เผื่อจะได้เหมารถเข้าเมืองเก่าพร้อมกันค่ะ

แล้วเราก็ต่อรองกันจนได้ข้อสรุปว่า รถจะเข้าไปส่งเราทั้งหมดถึงโรงแรมเลยค่ะ โดยคิดราคาเหมาทั้งหมด  60 หยวน เรามีกัน 6 คน ก็คนละ 10 หยวน โชคดีมากที่ได้เจอพี่ๆกลุ่มนี้เราประหยัดค่ารถเข้าเมืองได้เยอะเลยค่ะ  ถ้าพี่ๆมาอ่านเจอขอบคุณมากนะคะ

7374757677

นั่งรถมาประมาณไม่ถึง 20 นาที เราก็มาถึงเมืองเก่าจงเตี้ยน หรือ เมืองแชงกรีล่า (Shangrila) โดยส่งพี่ๆก่อน แล้วถึงจะมาส่งเราต่อ ไอตอนหาโรงแรมเราคนขับรถก็ไม่แน่ใจว่าโรงแรมอยู่ที่ไหน คนขับก็เลยโทรไปถามทางกับโรงแรม แล้วก็มีหนุ่มตี๋มารับเราก็รถ เดินนำเราไปโรงแรมค่ะ เพราะโรงแรมที่เราพัก ถนนเส้นหน้าโรงแรมไม่อนุญาตให้รถผ่าน

78.jpg7980

หนุ่มตี๋เดินนำเรามาจากถนนประมาณ 1 นาที ก็มาถึงโรงแรม Shangajoy Seasons Inn เราจองผ่าน Agoda  เราจะพักที่นี่ 1 คืน เราจองได้ในราคาคืนละ 600 บาท

 

หลัง Check- in แล้วทางโรงแรมมีห้องว่างพอดีค่ะ เจ้าของโรงแรมเลยให้เราเข้าห้องได้เลย  ส่วนหนุ่มตี๋คนที่ไปรับเรา คือ ลูกชายเจ้าของโรงแรมค่ะ พูดภาษาอังกฤษดีมากกกกกกกก

ห้องที่เราพัก เป็นห้อง 2 เตียง ห้องน้ำส่วนตัว มีน้ำอุ่น อุปกรณ์ในห้องน้ำครบ เตียงนอนมีที่อุ่นเตียง มีกาน้ำร้อน และชา ให้เราด้วยค่ะ บอกเลยราคานี้หารแล้วคนละ 300 บาท คุ้มมากกกกกกกกกกกกกกกกก

8184.jpg8286

อากาศวันนี้ที่แชงกรีล่าฝนตก 100% อากาศอยู่ที่ประมาณ 6-8 องศา หนาวเอาเรื่องเหมือนกัน

แผนวันนี้ของเราคือจะไปวัดโปตาลาน้อย วัดที่เราว่าใครพูดถึงเมืองแชงกรีล่าจะต้องนึกถึงวันแห่งนี้แน่นอน แต่ก่อนจะไปวัด เราต้องไปซื้อตั๋วรถบัสสำหรับพรุ่งนี้ที่จะไปเมืองเต้าเฉิน (Daocheng)  เพราะเท่าที่อ่านข้อมูลจากห้องบลูใน Pantip ก็พอจะรู้ว่ารถอาจจะไม่มีทุกวัน หรืออาจจะมีน้อย เลยคิดว่าเราควรรีบไปซื้อก่อน ถ้าไม่มีตั๋วรถบัสค่อยมาปรับแผน หรือหารถเหมา

เราถามทางจากโรงแรมว่าจะไปสถานีขนส่งของเมืองได้ยังไง  ก็ได้คำตอบว่าให้ไปรอรถเมล์สาย 1 จะผ่านสถานีขนส่ง  ราคา 1 หยวนตลอดสาย เราก็ออกไปรอรถเมล์ถามที่โรงแรมบอกว่า รอแล้วรอเหล่าก็ไม่มีรถมาเลยค่ะ ผ่านไป 15 นาทียังไม่มีรถมา ก็เริ่มสงสัยละวา นี่เรามารอถูกที่รึป่าวว้ะ ปรึกษากับเพื่อได้ข้อสรุปว่าเรียกแท็กซี่ดีกว่า หนาวก็หนาว รอนานกว่านี้คงเป็นหวัดตายแน่นอน

85

แท็กซี่มาส่งที่สถานีรถขนส่ง ค่ารถจากเมืองเก่ามาขนส่งราคา 20 หยวนค่ะ 

นั่งรถมาไม่นานก็มาถึงสถานีขนส่ง เข้ามาด้านในฝั่งขวามือจะเป็นที่รอสำหรับคนที่รอขึ้นรถ เดินตรงถัดไปจากนั้นจะเป็นช่องขายตั๋วค่ะ

88

ตอนเราไปไม่แทบไม่มีคนรอซื้อตั๋วอยู่เลย เราบอกคนขายตั๋วชาวจีนหลังเค้าเตอร์ดังๆ ว่า

” เต้าเฉิน หมิงเทียน ”

เจ้าหน้าที่ถามว่ากี่คน บอกชัดๆพร้อมนิ้วบอกจำนวนคนกันพลาด ว่า ” ทู ”

เจ้าหน้าที่หันไปพิมก็อกๆแก็กๆ แล้วก็ยื่นตั๋วให้เราพร้อมบอกราคาภาษาอังกฤษ

จ่ายเงินไป แล้วก็รับตั๋วมา

เย้ !!! ในที่สุดช้านก็ได้ตั๋วไปเต้าเฉินพรุ่งนี้ละ  และภูมิใจกับตัวเองมากที่ท่องภาษาจีนมา 2 คำแล้วใช้ได้ผล

55555555 5555555555

หมิงเทียน แปลว่า พรุ่งนี้ ( แนะนำท่องไปได้ใช้แน่นอนค่ะ )

ราคาตั๋วรถบัส Shangrila > Daocheng : 109 หยวน/คน 

รถมีแค่วันละ 1 เที่ยวเท่านั้น เวลา 8.00 น 

87

ได้ตั๋วรถมาก็สบายใจละ

คราวนี้เราหารถไปวัดโบตาลาน้อยกันต่อค่ะ  ถามทางกับเจ้าหน้าที่ในสถานีขนส่ง เขาบอกให้เราข้ามถนนไปแล้วไปรอฝั่งนั้น มีรถเมล์สาย 3 ที่จะสามารถไปยังวัดโบตาลาน้อยได้  เราเดินไปรอตามที่เจ้าหน้าที่ในสถานีขนส่งบอกมา รอแล้วรออีก ก็ไม่มีวี่แววรถมาสักที แล้วที่เรารออยู่ก็ไม่ใช่ป้ายรถเมล์ด้วยสิ ไม่รู้ป้ายรถเมล์อยู่ไหน หาไม่เจอ ฝนก็ตก ชาวบ้านแถวนั้นก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แถมกลัวต่างชาติแบบเราอีก

ฝนเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ หนาวมากๆค่ะ ท้องก็หิว เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยสำหรับวันนี้ ถนนฝั่งตรงข้ามที่เรายืนรอรถ มีร้านขายอาหารคล้ายๆก๋วยเตี๊ยว เห็นคนท้องถิ่นเดินเข้าออกเรื่อยๆ เราเลยตัดสินใจไปหาอะไรรองท้องก่อน เพราะจริงๆก็อยากหลบฝนด้วย ฝนตก ลมพัดมากทีปากนี่สั่นเลยค่ะ

ร้านนี้ขายอาหารคล้ายก๋วยเตี๊ยวบ้านเราค่ะ คนขายจะถามเราว่าจะเอาเส้นอะไร เราก็ชี้ๆเอาค่ะ  รอสักพักก็มีก๋วยเตี๊ยวชามยักษ์มาเสิร์ฟ รสชาติอร่อยดีค่ะ หรือเพราะเราเลือกเส้นแล้วโชคดีอร่อย เพราะของเพื่อนเรา นางบอกว่าของนางไม่อร่อยเลย แต่เราว่ามันช่วยเราได้เยอะในอากาศหนาวๆแบบนี้ ได้อะไรร้อนๆ ช่วยชีวิตได้เยอะจริงๆค่ะ

ราคาถ้วยละ 12 หยวน

899190

อิ่มแล้วฝนก็เริ่มเบาลงแล้ว แต่อย่าหวังว่าฝนจะหยุดตก วันนี้ตกทั้งวันแน่นอน

ก่อนออกจากร้านเราถามทางไปวัดโบตาลาน้อย ซึ่งเจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้  แต่ชี้ทางบอกเราได้ และแน่นอนค่ะเราไม่ได้ถามเป็นภาษาจีนหรืออังกฤษ เราเอารูปที่ปริ้นมาให้เขาดู แค่นี้ก็สื่อสารกันได้แล้วค่ะ

เดินมาตามทางที่ว่าเราก็ยังไม่เจอป้ายรถเมล์อยู่ดี ถามทางมาเรื่อยๆ ก็เจอแต่คนไม่พูดภาษาอังกฤษ จนเริ่มท้อเพราะอากาศมันหนาวววววว แต่ก็ยังทนเดินไปเรื่อยๆค่ะ จนเดินมาเจออาหมวยน้อย อายุประมาณ 10 -12ขวบ  เดินมากัน 3 คน เราเลยเข้าไปถามด้วยการส่งกระดาษให้ อาหมวยน้อยพยามอธิบายทางให้เรา แต่คงเห็นหน้าเราแล้วว่า ไม่น่าจะเข้าใจ เลยบอกว่า ให้ตามมาเดี๋ยวพาไป แล้วอาหมวยน้อยก็เดินนำเราไปค่ะ ใช่ค่ะ น้องเดินไปส่งเราที่ป้ายรถเมล์ ซึ่งมันไม่ได้ใกล้เลยค่ะ ใช้เวลาเดินประมาณเกือบ 15 นาที กว่าจะมาถึงป้ายรถเมล์ อาหมวยเลยบอกให้เรารอตรงนี้นะ พร้อมสั่งเราว่า “รอรถเมล์หมายเลข 3 นะ”

เราขอบคุณอาหมวยน้อยทั้ง 3 คน เสียดายที่ตอนนั้นคือเหนื่อยมากก หนาวมาก ฝนตก เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา

เจอแบบนี้บอกเลยค่ะ ประทับใจมากกกกกกกกกกกก คนจีนมีน้ำใจนะคะ ไม่ได้มีแบบนี้ที่ญี่ปุ่นเท่านั้นเพราะเราพิสูจน์มาแล้วว่า จีนก็มีคนน่ารักนะ

เรานั่งรอที่ป้ายรถเมล์ รอรถหมายเลข 3 นานมากกกกกกกกกกก กว่ารถจะมาค่ะ แต่รอไปค่ะ มาแน่นอน

การเดินทางไปวัดโปตาลาน้อยง่ายมากๆค่ะ แค่ให้มองหาป้ายรถเมล์ที่มีบอกการจอดของรถสาย 3 (จะดูว่าสายไหนจอดให้ดูจากด้านข้างของป้านรถเมล์ให้มีกระดาษบอกสายและเวลาของรถติดไว้)  แล้วก็ไปรอที่ป้ายนั้นค่ะ ให้รอฝั่งเดียวกับเมืองเก่านะคะ ไม่ต้องข้ามถนน

4.jpg

และแล้วรถก็มาค่ะ เย้ !!!

ค่ารถ 1 หยวน เท่านั้น และควรเตรียมเงินไปให้พอดีนะคะ เพราะไม่มีทอน รถบางคันอาจจะให้เราหย่อนลงในกล่องใส่เงินเลย บางคันอาจจะยื่นให้คนขับ ยังไงก็ดูคนด้านหน้าละกันเนอะ  แล้วก็ขึ้นประตูหน้า ลงประตูหลังนะคะ

92.jpg

นั่งรถมาไม่เกิน 30 นาที ก็มาถึงป้ายสุดท้าย ไม่ต้องกลัวเลยค่ะ ว่าพูดจีนไม่ได้จะลงผิดป้าย เพราะ วัดโปตาลาน้อย เป็นป้ายสุดท้ายของสาย 3 นักท่องเที่ยวทุกคนต้องลงป้ายนี้ เพราะจะมีเจ้าหน้าที่มาไล่เราลงจากรถเพื่อซื้อตั๋วเข้าวัดค่ะ

เมื่อลงจากรถเมล์แล้วให้มองหาอาคารที่อยู่ทางขวามือค่ะ ก็เข้าไปซื้อตั๋วด้านในนั้น ราคาตั๋วคนละ 115 หยวน ไม่สามารถใช้บัตรนักเรียนสากลลดได้นะคะ  ราคานี้รวมค่ารถที่จะรับ-ส่งเราที่หน้าวัดเรียบร้อยค่ะ

เมื่อเราได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่พาเราไปขึ้นรถที่จะพาไปส่งที่หน้าวัดค่ะ

ราคาตั๋วเข้าวัดโบตาลาน้อย 115หยวน/คน

56

วัดโปตาลาน้อย หรือ วัดซงจ้านหลิน (Songzanlin) เป็นวัดที่สร้างจำลองมาจาก พระราชวังโปตาลา (Potala) ในกรุงลาซา (Lhasa) ของทิเบต  

เป็นหนึ่งในสถานที่ๆดึงดูดให้เรามาในทริปนี้ เพราะเราเคยเห็นรูปวัดแห่งนี้มาหลายครั้ง แถมยังคิดว่ามันอยู่ทิเบตด้วยซ้ำ

789

จากตรงนี้ก็เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะเป็นบันไดขึ้นด้านบนค่ะ บอกเลยว่าเหนื่อยมากกกกกก ตรงนี้เอาเรื่องเลย สำหรับคนที่หายใจไม่ทัน แนะนำว่าให้หยุดพักทันทีนะคะ อย่าฝืนเด็ดขาดค่ะ หรือใครไม่แน่ใจว่าตัวเองไหวรึป่าวแนะนำให้ซื้อออกซิเจนกระป๋องติดมาด้วยนะคะ ช่วยได้เยอะมาก

ส่วนเราตอนไปวัดโปตาลาน้อย เราไม่ได้ใช้ออกซิเจนกระป๋อง เพราะยังไม่ได้ซื้อ เอาจริงๆคือไม่คิดว่ามันจะเหนื่อยขนาดนี้ อาศัยเหนื่อยก็หยุดแล้วจิบน้ำเอาค่ะ

111213141516

ด้านบนวัดวิวสวยมากๆค่ะ สำหรับการเดินเที่ยวด้านในจะมีป้ายบอกตลอดนะคะว่าอาคารไหนคืออะไร ส่วนด้านในอาคารจะมีพระลามะทำพิธีอยู่จริงค่ะ ซึ่งไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราแนะนำว่าให้เข้าไปดูพระลามะทำพิธีค่ะ สงบมากกกก มีความขลังจนส่วนตัวรู้สึกชอบมากค่ะ

เมื่อเดินชมวิวจากด้านบนวัดจนอิ่มแล้ว แนะนำให้เดินมาเก็บวิวด้านล่างต่อค่ะ  ให้เดินมาด้านหน้าสุดของวัดตรงเป็นลานกว้างๆ มีเหมือนป้ายรถเมล์อยู่นะคะ

1819

จากวิวตรงนี้ให้หันหลังให้วัด จะมีทางเหมือนสะพายไม้รอบบึง ให้เดินไปทางนั้นนะคะ เดินไปเรื่อยๆก็จะมีป้ายบอกจุดถ่ายรูปไปตลอดทางค่ะ เดินรอบบึงนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ขึ้นกับเราอยู่ถ่ายรูปมากแค่ไหนด้วยค่ะ

ใครอยากได้รูปวัดเป็นเงาสะท้อนน้ำให้ตามมาทางนี้เลยค่ะ

บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าที่เดินมา

แต่เสียดายวันที่เราไปเมฆครึ่มตลอดทั้งวัน ถ้าได้ฟ้าสวยๆ มันคงจะสุดยอดมากจริงๆ

93.jpg94202195.jpg962223242527989929

เราใช้เวลาเดินถ่ายรูปเล่นที่วัดโบตาลาน้อย เกือบ 4  ชม เห็นจะได้ค่ะ สถานที่ในฝันมันถ่ายรูปเพลินจริงๆค่ะ

ถ่ายรูปเสร็จก็มาขึ้นรถจุดเดิมที่มาส่ง แล้วก็นั่งไปเปลี่ยนขึ้นรถเมล์ตรงป้ายเดิมก่อนซื้อตั๋วค่ะ  คราวนี้รอไม่นานรถก็มาค่ะ นั่งกันไปยาวๆเลยค่ะ เพราะเราจะไปลงสุดสายที่หน้าทางเข้าเมืองเก่า

100.jpg

นั่งรถมากว่าจะถึงก็จะหลับแล้วค่ะ มาถึงหน้าเมืองเก่าปุ้บ ก็เปิด map เดินไปโรงแรมกันค่ะ มาถึงโรงแรมกิจกรรมแรกที่เราทำคือ การเอาตัวเองเข้าไปซุกอยู่ในผ้าห่มหนาๆอุ่น แล้วก็เปิดเครื่องอุ่นเตียงให้แรงสุด

แล้วในที่สุดเราก็หลับไป

รู้ตัวอีกที คือสะดุ้งตื่น ซึ่งเวลานั้นเกือบ 5 โมงเย็น

เริ่มหิวอีกละ กินไรดี !!

มาแชงกรีล่า ต้องมากินชาบู จามารี หรือ Yek Beef Hotpot 

เราหมายมั่นปั่้นมือว่ามือนี้ต้องกินเนื้อจามารีให้ได้  ด้านล่างของโรงแรมเป็นร้านอาหารติดกับล็อบบี้ เปิด 6 โมงเย็น เราอ่านรีวิวใน agoda มา มีคนเคยกินที่นี่แล้วก็บอกว่าอร่อยด้วย  มื้อเย็นวันนี้เราเลยตั้งใจกินที่ร้านนี้ละค่ะ ไม่ต้องไปเดินหาที่อื่นละ

ส่วนตัวเราเป็นสาย ล้มวัว กินเนื้ออยู่แล้ว ดังนั้นมาถึงถิ่น(ใกล้)ทิเบตละ ต้องลองกินเนื้อจามารีให้ได้ค่ะ  เราเลยสั่ง จามารี ฮอทพอท มา 1 ชุด

เจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นะคะ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ หนุ่มตี๋คนเดิมที่ไปรับเมื่อเช้าเป็นล่ามให้เราได้ค่ะ ต้องการอะไรบอกหนุ่มตี๋คนนี้ได้ลย

รอประมาณ 10 นาที  ฮอทพอท จามารี ก็มาวางอยู่ตรงหน้าเราค่ะ

104102103

รอไม่นาน เนื้อจามารีก็เริ่มสุกค่ะ ถึงเวลาได้ลิ้มฃองเนื้อจามารีสักที

แต่ยังค่ะ เรายังไม่ได้กิน เพราะเพื่อนเรานางไม่ค่อยมั่นใจ นางเลยบอกว่า “มึงๆถามเขาอีกรอบสิ ว่าเนื้ออะไร”  เราเลยถามพ่อครัวก็เจ้าของร้านนั้นแหละ แต่เฮียแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ไปตามน้องชาย ก็คือหนุ่มตี๋คนเดิมมา  เราถามอีกค่ะว่า “อันนี้เนื้ออะไรค่ะ” หนุ่มตี๋หันมามองหน้า แล้วบอกว่า ” ก็ Yak Beef ไง” แถมทำหน้าแปลความหมายได้ว่า มึงสั่งเนื้อจามารี แล้วมึงจะถามทำไมว่าเนื้ออะไร  เมื่อเพื่อนได้ยินแล้วเราก็คงจะได้กินสักทีสินะ

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย มึงงงง !!!

” มันอร่อยยยยยยยยยยยยยยย  ไม่คาว เนื้อนุ่ม ”  คือถือเป็นหนึ่งในเนื้อชั้นดีเลยค่ะ

ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรานะ เพราะปกติเราค่อนข้างที่จะกินอาหารต่างถิ่นได้อยู่ละ แต่เพื่อนเราปกตินางไม่ชอบกินเนื้อวัวสักเท่าไหร่ เพราะนางรู้สึกว่ามันคาว แต่โดนเนื้อจามารีเข้าไป นางบอกอร่อย

เครื่องเคียงจะมีผักมาด้วยนะคะ แนะนำให้ใส่ลงไปเลยอ่ะ อร่อยยย

หม้อนี้เหมือนจะไม่เยอะ แต่บอกเลยกิน 2 คนแทบไม่หมด แต่มื้อนี้เป็นมื้อที่เราเจริญอาหารมากที่สุดในจีน ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์จองโรงแรมนี้มาเพื่อจะมาลองฮอทพอทจามารี ( เวอร์จริงๆเลยดาววว)

105

กินไปซักพัก พ่อครัว (ก็เจ้าของร้านนั้นแหละ) เอาขนมกลมๆแบนๆสีเหลือง พร้อมกับกาน้ำร้อนมาให้ แต่ในกานั้นมันไม่ใช่น้ำร้อนนะคะ มันคือ นมจามารี  รสชาติขนมจืดๆหน่อยค่ะ แต่กินพร้อมนม อร่อยดีค่ะ เอาเป็นว่าเราก็กินหมดทั้งสองอย่างนั้นแหละ 55555

Yek Beef Hotpot ราคา 98 หยวน

106112.jpg

กินอิ่มแล้ว นั่งดูฝนตกผ่านหน้าต่างร้าน จะรอให้ฝนหยุดก็คงไม่ได้ไปไหนแน่นอน

เราเลยลุกขึ้นไปถ่ายรูปเล่นในตัวเมืองเก่าดีกว่า แน่นอนค่ะวันนี้ฝนตกไม่มีการเต้นรำที่มีประจำทุกคืน เราเดินถ่ายรูปได้ไม่นานหรอกค่ะ เพราะฝนมันตก หนาววววว

107.jpg110108111109

เมืองแชงกรีล่าตอนกลางคืนสวยมากๆค่ะ แม้ในวันที่เปียกฝนแบบนี้

วันนี้เราได้แค่สำรวจไว้ก่อนแล้วจะกลับมาทำความรู้สึกเมืองนี้อีกครั้งหลังกลับมาจากย่าติง (Yading)

เรากลับจากถ่ายรูปเล่น คืนนี้ขอซุกตัวเข้าในผ้าห่ม พรุ่งนี้เราต้องตื่นเช้าอีกแล้วค่ะ เพราะเราต้องขึ้นไปเต้าเฉิน 8 โมงเช้า  แล้วคืนนี้เราต้องพักผ่อนให้มากที่สุด เพราะพรุ่งนี้เราต้องนั่งรถประมาณ 8-10 ชม แถมต้องขึ้นไปที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ประมาณ 3700 เมตร ซึ่งมนุษย์พื้นราบแบบเรา แนะนำให้กินยา Diamox ไว้ก่อนนะคะ

Day 3

2.00 น

“มึงๆๆๆ”

เราได้ยินเสียงเรียก แล้วเพื่อนเรานางก็เดินไปเข้าห้องน้ำ  แล้วกลับมาด้วยอาการหน้าซีดๆ

“เป็นไรว้ะ”

“อ้วกว้ะ น่าจะอาหารไม่ย่อย”

“ไหวป่ะ มึง”

“ไหวๆ แต่มึงมียาที่จะช่วยกูได้มั้ย”

“มีๆ”

ใช่ค่ะ เพื่อนเราอาหารไม่ย่อย  แล้วก็โชคดีที่เรามีทั้งยาช่วยย่อย ยาเยอะแยะที่เอามาด้วย เพราะกลัวว่าตัวเองจะป่วย เนื่องจากพึ่งผ่าไส้ติงมายังไม่ครบเดือนเลย

หลังเอายาให้เพื่อนเรียบร้อยแล้ว ทั้งเราและนางก็หลับกันไป

5.30 น

เราตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ เราตื่นขึ้นมาเก็บกระเป๋าจัดการตัวเอง และแน่นอนค่ะ เช้านี้เราไม่ได้อาบน้ำ เพราะเมื่อคืนอาบละ ใครมันจะไปอาบน้ำตอนเช้าลง ในเมื่อเช้านี้อากาศอยู่ประมาณ 5 องศา ลืมบอกว่าเมื่อคืนตอนที่เราจะนอน อากาศอยู่ที่ 2 องศา หนาวมากกกกกกกกก เพราะโรงแรมเล็กๆแบบนี้ในจีนจะไม่มีฮีทเตอร์นะคะ มีแค่ที่อุ่นเตียง

เราหันไปปลุกเพื่อน แล้วถามไถ่ว่าโอเคขึ้นมั้ย นางบอกว่าโอเค แต่ยังรู้สึกว่ายังอยากอ้วกอยู่เลย

แล้วเราสองคนก็จัดกระเป๋าเรียบร้อย เตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอกละ

ลงมาด้านล่างที่ ล็อบบี้โรงแรมยังคงปิดประตูอยู่ยังไม่มีคนมาเลย แต่มีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันรออยู่แล้ว 2 คน รอไม่นาน เจ้าของโรงแรมก็มาเปิดประตู แล้วจัดการ Check – out ให้เรา

เช้านี้หนาวมากค่ะ เราก็เรียกแท็กซี่เหมือนเดิม ขืนให้ยืนรอรถเมล์แข็งตายแน่นอน

ค่ารถแท็กซี่ไปสถานีขนส่ง 20 หยวน (เหมือนเดิม) 

เรามาถึงสถานีขนส่งตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง  ด้านหน้ามีแม่ค้ามาขายของกิน มีแป้งแผ่นๆ ซาลาเปา ไข้ต้มก็มีค่ะ เราเลยซื้อของกินรองท้องกันหน่อยค่ะ

113.jpg

ห้องสำหรับให้ผู้โดยสารรอรถ ในมีห้องน้ำให้บริการนะคะ ความสะอาดยังอยู่ในเกณฑ์ดีค่ะ เข้าได้ แต่อย่าลืมพกทิชชู่เปียกมาด้วยนะคะ

114.jpg

นั่งรอกันไปเรื่อยๆ ใกล้เวลาก็จะมีเสียงประกาศค่ะ ถ้าฟังไม่รู้เรื่องไม่แน่ใจ เอาตั๋วรถที่เราได้มาเดินไปถามเลยค่ะ ถ้าใช่ เจ้าหน้าก็จะปล่อยให้เราไปที่รถ ก่อนขึ้นรถให้คนขับดูตั๋วก่อนนะคะ เพราะของเราก็เกือบขึ้นรถผิด โชคดีที่ให้คนขับดูตั๋วเขาเลยเดินมาส่งคันที่ถูกต้องแทนค่ะ

ตั๋วรถจะระบุที่นั่งไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ ก่อนขึ้นไปหาที่นั่งก็เอากระเป๋าไปเก็บท้ายรถก่อน

” มึงๆ กูได้ยินเสียงภาษาไทยว้ะ”

“เออๆ ใช่ กูกำลังคิดว่าพี่ผู้หญิง 2 คนเป็นคนไทย”

เรากำลังกระซิบกับเพื่อน เพราะได้ยินเสียงคนพูดภาษาไทย และผู้หญิง 2 คนนั้นเดินทางไปรถคันเดียวกับเรา และตอนนี้พี่เขากำลังมองหาที่วางกระเป๋า เราเดินชี้ช่องว่างที่จะสามารถเก็บกระเป๋าให้พร้อมถามพี่เขาว่า

” พี่เป็นคนไทยป่ะค่ะ ”

“ใช่ค่ะ น้องไปเต้าเฉินด้วยหรอ”

“ช่ายค่ะ เต้าเฉิน แล้วพรุ่งนี้ขึ้นย่าติง”

“เหมือนกันเลย  ไว้เราคุยกันนะ”

หลังบทสนทนาสั้นๆระหว่างยกกระเป๋าเก็บช่องใต้รถ แล้วเราก็ขึ้นมาหาที่นั่งบนรถ ตอนนี้ยังไม่ 8 โมง ผู้คนก็ทยอยขึ้นรถกันมาค่ะ แล้วก็ได้ที่นั่งโอเค อยู่กลางๆรถหน่อย แล้วสักพักก็มีผู้หญิง 3 คน รุ่นๆกับเรา แถมหน้าตาคล้ายคนไทยอีกแล้ว มานั่งแถวหน้าเราค่ะ

“เธอๆคนไทยหรอค่ะ”

“ช่ายค่ะ ขึ้นย่าติงมั๊ยค่ะ”

“ขึ้นค่ะ”

หลังสมานสัมพันธไมตรีชาวไทยบนรถบัสที่จะพาเราจากแชงกรีล่าไปเต้าเฉิน  แล้วในที่สุดเราก็ไม่ใช่คนไทยแค่ 2 คน บนรถคันนี้ แอบรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ 5555  เพราะในรถคันนี้อัดแน่นไปด้วยคนไทยทั้งหมด 7 คนค่ะ

8 โมงตรง 

รถเคลื่อนออกจากสถานีขนส่งได้ไม่นาน เราก็หลับไปค่ะ คงเพราะเมื่อคืนยังนอนไม่เต็มอิ่ม  สักพักเราก็ตื่นขึ้นมา วิวข้างทางยังคงเป็นชานเมืองยังไม่เข้าสู่ชนบทอย่างแท้จริง รถแวะตรงนี้เนื่องจากมีทหารขึ้นมาตรวจบนรถ แล้วก็เลยปล่อยให้ผู้โดยสารลงไปเข้าห้องน้ำด้วย ส่วนเราไม่ได้ลงไปจุดนี้ค่ะ

117

ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกจากชานเมือง มุ่งสู่ชนบทที่แท้จริง เส้นทางนี้ค่อนข้างโหดค่ะ เพราะเป็นถนนที่เป็นลูกรังส่วนใหญ่ เราอ่านรีวิวก่อนมาทุกคนบอกว่าเส้นนี้ต้องนั่งรถยาวนานถึง 8 ชม เลยค่ะ ใครเมารถง่าย แนะนำให้รีบกินยาแก้เมารถตั้งแต่เริ่มขึ้นรถเลยนะคะ และสิ่งที่คนไทยอย่างเรากลัวที่สุดสำหรับเส้นทางนี้คือ ส้วมราง สิ่งที่จะพาเราไปถึงประเทศจีนอย่างแท้จริง  (ดาวต้องสู้ 55555 )

รถออกไปได้ไม่ได้นาน เพื่อนเราก็มีอาการไม่ดีค่ะ นางรู้สึกอยากจะอ้วก และพึ่งมารู้สึกว่าตัวนางเองลืมกินยาเมารถ   เราก็เลยรีบเอายาให้นางกินค่ะ แต่ไม่ทันละ เพื่อนเราอ้วก !!! ค่ะ  นางอ้วกไป 2 รอบ โชคดีที่เราเอาถุงพลาสติกที่เป็นซิปล็อก ปลอดภัย ช่วยให้กลิ่นไม่รบกวนคนอื่นค่ะ

115116

นั่งรถไปสักพักใหญ่ เวลาก็ใกล้จะเที่ยงแล้วค่ะ  แล้วรถก็มาจอดแวะให้เราพักกินข้าวและเข้าห้องน้ำ

ใช่ค่ะ เรากำลังจะได้เจอส้วมรางแล้วละ เห้ออออออออ ( ขอดาวหายใจลึกๆนิดนึง )

ข้าวเที่ยงและส้วมราง

เมื่อรถมาแวะให้พักกินข้าวเที่ยงและเข้าห้องน้ำ คนไทยอย่างเราก็เดินลงจากรถมาอย่าง งงๆ ส่วนพี่จีนนั้นต่างคนต่างไปเข้าแถวรอเข้าห้องน้ำกันเป็นปกติ  กลุ่มคนไทย 7 คน นั้นปรึกษากันว่าให้พี่จีนเข้าไปก่อนเนอะ เราไปกลุ่มท้ายๆก็ได้ขอเวลาทำใจกันนิดนึง

ส่วนอาหารเที่ยงนั้น เป็นเมนูคล้ายข้าวแกงบ้านเราค่ะ ข้าวตักเองได้เลย ส่วนกับข้าวจะเอากี่อย่างก็บอกไป  เพื่อนเรานางขอกินข้าว ส่วนเรายังไม่อยากกินข้าวกลัวมันจะหนักท้องไป เลยใช้บริการน้ำร้อนฟรีเทใส่มาม่าต้มยำกุ้งที่เอามาจากเมืองไทยนี่แหละ

เราสังเกตว่ากลุ่มวัยรุ่นจีนที่มารถคันเดียวกับเราส่วนใหญ่จะพกอาหารเที่ยงมาเองทั้งนั้น คงเพราะข้าวเที่ยงบนนี้ราคาแพงอยู่เหมือนกัน ส่วนรสชาตินั้น เพื่อนบอกกินได้

ราคาข้าว 3 หยวน  กับข้าวอย่างละ 15 หยวน 

118

หลังทานข้าวเสร็จยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 15 นาที ก่อนที่รถจะออก ถึงเวลาที่เราจะไปสัมผัสความเป็นจีนอย่างแท้จริงแล้วละค่ะ ( ดาวยังไม่พร้อม ) คนไทย 7 คน เดินไปต่อแถวเพื่อจะเข้าห้องน้ำ ทุกคนมีทิชชู่เปียกเป็นอาวุธในมือพร้อม แต่หน้าตาแต่ละคนนั้นบ่งบอกถึงความไม่พร้อมอย่างแรง  เราให้เพื่อนเราอยู่ก่อนค่ะ เพราะเราขอห้องต้นๆแล้วกันนะ ฮ่าาาา (ดาวว่า อย่างน้อยต้นทางก็น่าจะดีกว่าปลายทางแหละ)

ส้วมรางแบบฉบับของจีน 

จะเรียกว่าเป็นห้องส่วมก็พูดไม่เต็มปาก เพราะส้วมรางแห่งนี้ถึงแม้มองจากภายนอกนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับส้วมวัดแถวชนบทในบ้านเราก็เถอะ แต่ที่นี่สัดส่วนของแต่ละห้องนั้นจะถูกกั้นด้วยผนังปูนที่ถ้าลองเอาตัวไปยืนเทียบดูนั้น ก็ไม่น่าจะสูงกว่าเอวเราสักเท่าไหร่ แบ่งออกมาเป็น 4 ห้องเล็กๆ และแน่นอนค่ะ ไม่มีประตู เปิดกันโล่งๆ ยังดีที่ด้านหน้าของส้วมนั้น คือธารน้ำที่กำลังไหลให้ความสดชื่่นได้บ้าง (ดาวววววว มึงยังมีอารมณ์สุนทรีย์เนอะ)  และขาดไม่ได้เลย คือตัวโถส้วม ที่ไม่สามารถเรียกว่าโถส้วมได้เลย มันคือช่องที่ขนาดความกว้างนั้นไม่กว้างมากนัก แต่ยาวจากห้องแรกไปถึงห้องสุดท้าย ลักษณะเป็นรางคล้ายรางน้ำฝนนั้นแหละค่ะ  ถึงตรงนี้รู้แล้วใช่มั้ยค่ะ ว่าทำไมเราเลือกห้องแรก เพราะห้องแรกนั้นเป็นต้นน้ำ ทุกมวลสารนั้น มันจะไหลลงไปห้องสุดท้ายค่ะ  ดังนั้นห้องแรกน่าจะปลออดภัยที่สุด

119

และไม่รู้เราคิดถูกคิดผิด ที่มายืนต่อแถวเรียงกัน 7 คน ซึ่งเราคือคนไทยทั้งหมด นั้นแปลว่า เราต้องเข้าส้วมรางพร้อมกัน แล้วก็เหมือนเราทุกคนจะคิดได้แบบเดียวกัน เลยมีคนพูดขึ้นมาว่า

” เราจะไม่มีใครดูของใครกันนะ ” 55555555

จบประโยคนั้น ทุกคนก็ทำหน้านิ่งๆเก็บอารมณ์ของตัวเองกันสุดขีด

ถึงเวลาแล้วค่ะ ชาวจีนหน้าเรากำลังจะออกมาจากช่องส้วมนั้น ถึงเวลาที่เราต้องเข้าไปแทนที่ละ ก่อนเดินเข้าไป กั้นหายใจให้สุด แล้วก็เดินเข้าไปเลยค่ะ ห้องแรกที่เราได้สภาพไม่น่ากลัว ไม่มีมูลสารใดๆ มีแค่เศษทิชชู่ที่นั้นไว้มุมของช่องส้วมเท่านั้น  เรารีบจัดการภารกิจตัวเองอย่างรวดเร็ว และจะบอกว่าต้องถอดกางเกง และใส่กางเกงยังไงก็ได้ไม่ให้พ้นความสูงของผนังกั้นแต่ละช่อง แล้วในที่สุดเราก็รอดพ้นจากส้วมรางของจีน เดินก็มาก็มีชาวจีนที่รอเข้าห้องน้ำ ทำหน้า งงๆ ใส่เรา คงคิดในใจ หน้ามึงดูจะโล่งอะไรขนาดนั้น

“เป็นไงมึง” เพื่อนเราเอ่ยถามเราหลังเดินออกมาจากห้องน้ำจีน

“โอเคนะ กูปลอดภัยไม่เจออะไร  มึงอะ”

“ก็โอเค ถึงแม้กูจะเจอสถาปัตยกรรมก้อนนึงก็ตาม มันก็ยังดีกว่าที่กูคิด”

หลังแรกเปลี่ยนประสบการณ์ส้วมรางจีนครั้งแรกกัน เราคนไทย 7 คน ลงความเห็นว่า ส้วมรางที่นี่ไม่ได้แย่

ถึงเวลาเดินทางต่อละคะ หนทางเส้นนี้ยังอีกยาวไกล

ตอนนี้เวลาประมาณ 12.10 รถเคลื่อนตัวพาเราไปต่อ ซึ่งตอนนี้ถ้านับจากเวลาที่รถออกตอนแรกก็ผ่านไปแล้ว 4 ชม  คราวนี้ขึ้นรถปุ้บเพื่อนเรารีบกินยาแก้เมารถเลยค่ะ  เส้นทางต่อจากนี้เริ่มเป็นป่ามากขึ้น มีใบไม้เปลี่ยนสีเพิ่มมากขึ้น  เราหลับบ้างตื่นบ้าง ถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อยๆ

ส่วนเพื่อนเรานางอ้วกไปอีกประมาณ 4 รอบ ซึ่งตอนนี้เราก็ไม่แน่ใจว่า นางเมารถอย่างเดียว หรือมีอาการแพ้ความสูง (AMS) เข้ามาด้วยมั้ย แต่หลังจากที่ยาแก้เมารถทำงาน นางก็หลับไปยาวๆเลยค่ะ

ระหว่างทางก็จะมีให้เข้าห้องน้ำเรื่อยๆนะคะ รถที่เราไปแวะบ่อยกว่าที่อ่านรีวิวมาอีก ทั้งแวะให้เข้าห้องน้ำ บางครั้งก็ต้องจอดเพราะมีทหารขึ้นมาตรวจ ซึ่งมี 2 ครั้ง  ครั้งแรกพี่ทหารขึ้นมาตรวจบนรถ แล้วเรียกบัตรประชาชนชาวจีนและพาสปอร์ตของต่างชาติทุกคนไปเช็ค เราแค่นั่งบนรถเฉยๆ ไม่เกิน 10 นาทีก็เอาพาสปอร์ตมาคืน  ส่วนครั้งที่สองนั้น ทุกคนบนรถต้องลงจากรถแล้วไปเข้าแถวเพื่อบันทึกข้อมูลว่าเราเดินทางผ่านเส้นนี้ นักท่องเที่ยวแบบเราก็แค่ไปต่อแถวแล้วยื่นพาสปอร์ตให้พี่ทหารจดๆข้อมูลแล้วก็คืนมาค่ะ  รถบัสที่เรานั่งมามีต่างชาติไม่เยอะค่ะ ฝรั่ง 3 คน และ 2 คนในนั้นพูดจีนได้ คือเก่งมากกกกกกกกกก แล้วก็มีคุณลุงชาวไต้หวัน 1 คน ที่เหลือก็เป็นคนไทย 7 คน

จริงๆ จีนช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็สวยไม่น้อยหน้าญี่ปุ่นเลยนะ

127120.jpg124121126128125129122123131132

16.00 น

ตอนนี้รถที่เรานั่งมาพึ่งจะเข้าเขตเต้าเฉิน แล้วรถก็มาจอดพักรถข้างทางแห่งหนึ่งตรงนั้นมีน้ำสำหรับไว้ฉีดรถ แล้วยังมีร้านขายของชำด้วยสิ ขับรถจอดลงไปโช้ยบะหมี่แบบไม่สงสารผู้โดยสารเลยว่าอยากจะไปถึงจุดหมายสักที เรานั่งรถมาแล้ว เกือบ 8 ชม เมื้อยมากกกกก เหนื่อยมากกกกกก และ ทรมานมากกกกกกกกก

ร้านขายของชำมีแอปเปิ้ลขายด้วยค่ะ เพื่อนเราลงไปซื้อมา 2 ลูก อร่อยหวานฉ่ำเลย

133.jpg

หลังจากคนขับพักจนสบายใจละ ก็ขึ้นมาประกาศบนรถว่ามีใครที่จะไปย่าติงเลยมั้ย ถ้าไปให้ลงไปขึ้นรถคันที่จอดอยู่ด้านหลัง เนื่องจากวันที่เรามารถจากแชงกรีล่ามาเต้าเฉินมี 2 คัน ซึ่งไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีรถเลยค่ะ เราว่ารถพอแน่นอน  รถคันหลังจะไปส่งโดยต้องจ่ายเงินเพิ่มประมาณ 40 หยวน (ถ้าเราจำไม่ผิด)

มีคนจีนเยอะเลยค่ะ ที่จะไปย่าติงเลย เราเหล่าคนไทยปรึกษากันว่า วันนี้เราขอนอนเต้าเฉินก่อนดีกว่า เพราะจองโรงแรมไว้ละด้วย อีกอย่างการนั่งรถมายาวนานแบบนี้เป็นอะไรที่เหนื่อยและเพลียมาก

หลังจากนี้วิวข้างทางเริ่มไม่เป็นสีเขียวละคะ เป็นสีน้ำตาล

139.jpg134135136138.jpg137

ก่อนที่จะมาเราคิดมาตลอดว่าเต้าเฉินเป็นแค่ทางผ่านและเมืองที่แวะพักก่อนขึ้นไปย่าติงเท่านั้น แต่หลังจากเห็นวิวข้างทางแล้ว ทำให้เรารู้ว่าเต้าเฉินไม่ควรเป็นแค่ทางผ่าน  อยากจะมีเวลาเช่ารถมอไค์มาขับแถวนี้ซะจริงๆ

และการได้เห็นวิวตรงหน้าก็ทำให้เรารู้ว่ามันคุ้มแล้วกับการที่เราพาตัวเองข้ามผ่านความกลัว ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงจีน

142143144145146147150149

19.00 น

ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองเต้าเฉินสักที 11 ชม ของการเดินทาง ยังดีที่มีวิวข้างทางช่วยเยียวยาเราได้บ้าง เราลงมาจากรถ ก็มีเหล่าหมาป่าชาวจีน มารุมถามว่า Yading Yading อยู่ตลอดเวลา เราเหล่าคนไทยของตั้งหลักนิดนึง ไหนๆก็มารถคันเดียวกันแล้ว จะให้ทิ้งกันได้ไงเนอะ

เราตกลงกันว่า เราจะหารถหารไปย่าติงในวันพรุ่งนี้พร้อมกัน ซึ่งเป็นโชคดีของเราที่ในกลุ่มคนไทยที่เราเคยเล่าว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรานั้น มี 1 คนคนที่พูดภาษาจีนได้ พวกเราเลยส่งนางไปเจรจาค่ะ แล้วในที่สุดเราก็ได้รถมาค่ะ รถจะมารับเราพรุ่งนี้ 6 โมงเช้าหน้าโรงแรม  ส่วนคืนนี้จะไปส่งเราที่โรงแรมฟรีค่ะ

151.jpg

คืนนี้เราแยกออกเป็น 2 ทีม ตามโรงแรมที่เราพัก ซึ่งแบ่งออกเป็นทีมแรกคือเรากับเพื่อนและพี่ๆสองคนที่เจอตอนแรก อีกทีมคือเพื่อนคนไทยสามคนที่เจอบนรถเหมือนกัน

คืนนี้เรานอนที่ Daocheng Drolma’s Guesthouse เราจองผ่าน Agoda เหมือนเดิมค่ะ เราจองมาได้ในราคา 585 บาท โรงแรมนี้เป็นแบบห้องน้ำรวมนะคะ คืนนี้เราได้ห้องชั้น 2 ส่วนพี่อีกสองคนได้ห้องชั้น 1 ค่ะ  เราตกลงกันว่าต่างคนต่างเอาของไปเก็บที่ห้องกันก่อน แล้วคืนนี้ไปหาอะไรกินด้วยกัน และที่สำคัญคืนนี้เราต้องออกไปตามหาออกซิเจนกระป๋อง เพื่อเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้

 

152.jpg

ออกมาจากโรงแรม เราก็เจออาเจ็กพ่อค้าขายผลไม้ค่ะ เราทุกคนเลยซื้อผลไม้เจ็กกินรองท้องระหว่างเดินสำรวจเมืองเต้าเฉิน

153.jpg154155

เราเดินสำรวจเมืองเต้าเฉินกันก่อน เราเดินจนไปเจอร้านคล้ายๆกับซุปเปอร์บ้านเราค่ะ อยู่ใกล้กับโรงแรมใหญ่ของเมือง ในร้านมีของสารพัดที่เราอยากได้และก็มีออกซิเจนกระป๋องตามที่เราต้องการ ราคาที่นี่เท่ากับราคาที่แชงกรีล่า

157156158

ซื้อของเสร็จเราก็เดินหาร้านอาหารที่ยังเปิดอยู่ เพราะตอนนี้แต่ละคนหิวจะเป็นลมกันละ แล้วเราก็ไปเจอร้านอาหารไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักค่ะ  ร้านนี้พนักงานน่ารัก เพราะทุกคนพยามทำความเข้าใจกับต่างชาติที่พยามจะกินอาหารจีนแบบเรา

มื้อนี่พี่ๆคนไทยที่เราเจอทั้งสองคนบอกมาว่า พี่อยากกินไข่เจียว งั้นจัดไปค่ะ

มื้อนี้สนนราคาที่ 100 หยวน (หาร 4คน)

( แนะนำว่าใครอยากกินอะไรให้เซฟรูปใส่มือถือไปแบบเราค่ะ ช่วยชีวิตได้เยอะ)

159160161162163

เรากินข้าวไป ความรู้จักกันไป

จนได้รู้ว่า พี่คนแรกชื่อพี่ออย พยาบาลสาวขาลุย ชอบเดินป่า แบ็คแพ็คไปที่ๆลำบากๆ อีกคนชื่ออพี่โบตั๋น พยาบาลสาวที่มีความชอบไม่ต่างกับคนแรก แต่คงมีความมุ้งมิ้งมากกว่าพี่ออยนิดนึง  และครั้งนี้ก็เป็นการมาจีนครั้งแรกแบบเรา อีกอย่างที่พวกเราเหมือนกันคือ ไม่มีใครพูดหรือฟังภาษาจีนออกเลย 5555

เราคุยถึงแผนการเดินทางต่อจากนี้กัน  เดิมเราวางแผนไว้ว่า เราจะขึ้นไปนอนย่าติงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น แล้วกลับมานอนที่เต้าเฉิน ก็เป็นรูทปกติที่คนมักนิยมทำกัน แต่เมื่อคุยกับพี่พยาบาลแล้ว พี่ๆเขาตั้งใจจะนอนที่ย่าติง 2 คืน เพราะวันที่ต้องเดินขึ้นทะเลสาบ 5 สี และ ทะเลสาบน้ำนม ไม่อยากที่จะต้องรีบเดินกลับ เพื่อให้ทันรถลงมาเต้าเฉิน ซึ่งเอาจริงๆเราก็ไม่อยากรีบ แต่เราก็กลัวไม่มีรถกลับแชงกรีล่า ถ้าไม่ทำแบบนั้น

สุดท้ายเราก็เลยปรับแพลนตัวเอง เปลี่ยนมานอนบนอุทยานย่าติง 2 คืน แบบพี่พยาบาล แล้วขากลับเราจะเหมารถกลับแชงกรีล่าพร้อมกัน

ไหนๆโชคชะตาก็พัดพาเรามาเจอกันแล้ว งั้นก็ไปด้วยกันนี่แหละเนอะ

มื้อค่ำนี้เป็นอีกมื้อที่อิ่มมากกกก  (ดาววว มึงอิ่มมากเกือบทุกมื้อเลยค่ะ)  เสร็จแล้วเราก็เดินกลับโรงแรมกันค่ะ คืนนี้ต่างคนต้องแยกกันไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เราต้องขึ้นพื้นที่สูงกว่าเดิม ต้องเดินด้วย คืนนี้เราก็ยังคงกินยา Diamox เหมือนเดิม กันไว้ดีกว่าแก้เนอะ เพราะการไม่สบายเวลาไปเที่ยวเป็นอะไรที่ทรมานสุดๆ

Daocheng Drolma’s Guesthouse

เราขึ้นมาบนห้องเตรียมตัวอาบน้ำกันค่ะ เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะไม่อาบน้ำกัน (เหมือนเดิม) ในห้องมีที่อุ่นเตียงนะคะ ถ้าต้องการผ้าขนหนู ไดร์เป่าผม ให้ลงไปเอาที่ล็อบบี้ค่ะ และในห้องมีหม้อต้มน้ำให้

มาถึงในส่วนของห้องน้ำรวม เราได้ห้องชั้นบน ห้องน้ำติดกับห้องนอนเราเลยค่ะ ความสะอาดถ้าเต็ม 5 เราให้ 3 ก็ถือว่าอยู่นเกณฑ์ที่รับได้ แต่พี่พยาบาลได้ห้องชั้นล่าง บอกเราว่าห้องน้ำรวมข้างล่างไม่ไหวเลย มีมวลสารค้างคาอยู่ 

เรากำลังจะต้มน้ำร้อนกิน เพราะอากาศที่เต้าเฉิน หนาวเอาเรื่องเลยค่ะ  แต่เราลืมซื้อน้ำเปล่ามา ก็จะต้องลงมาซื้อน้ำอีก โชคดีที่หน้าโรงแรมมีร้านชำอยู่

แต่ลงมาปุ้บ เราก็เจอกระติกน้ำร้อนของทางโรงแรมมีน้ำให้ฟรี ระหว่างนั้นก็มีพี่ผู้ชายคนไทย เข้ามาทักเราว่า

“เป็นคนไทยรึป่าว”

“ช่ายค่ะ คนไทย พี่ขึ้นย่าติงมั้ยค่ะ”

“พี่ไปมาแล้ว พึ่งกลับมาถึงเมื่อกี้เลย”

“อากาศข้างบนเป็นไงบ้างค่ะ”

“หนาว และหนาวมาก พี่ไปนอนบนนั้นมา 3 คืน ฝนตกทุกวัน ไม่รู้เป็นเพราะพี่โชคไม่ดีรึป่าว”

“แหะๆ  พี่พักที่ไหนค่ะ เพราะพวกหนูยังไม่มีโรงแรมบนนั้นเลยค่ะ”

“พี่พักในอุทยานนั้นแหละ พี่เลือกโซน 4 เป็นโซนสุดท้ายเงียบสงบ ไปถึงก็ลงรถบัสด้านในเดินหาที่พักได้เลย แต่ราคาบางที่ก็โหดๆหน่อย เอ้อ พรุ่งนี้ถ้าพวกน้องเกิดปีไก่จะได้ส่วนลดค่าตั๋วเข้าอุทยานด้วยนะ  เพราะพี่ก็ได้มา  ยังไงขอให้อากาศเปิดและเดินขึ้นไปถึงข้างบนนะ”

“ขอบคุณค่ะ พี่สมเกียรติ”

เราขอบคุณพี่สมเกียรติ แล้วรีบขึ้นมาจัดการตัวเองและกระเป๋าให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีกแล้ว

Day 4 

4.30 น

เรารู้สึกตัวแล้ว แต่ยังคงนอนกลิ้งไป กลิ้งมา เช็คอากาศแล้ว โอ้ยย ไม่อยากลุกอยากผ้าห่มอุ่นๆอันนี้

164

5.40 น

เราจัดการตัวเองกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยลงมานั่งเล่นรอพี่ๆพยาบาลที่ล็อบบี้ เพราะถ้าให้นั่งรออยู่บนห้องเราคงหลับแน่นอน

6.00 น

รถตู้มินิแวน ก็มารับเราที่หน้าโรงแรมตรงเวลาเป๊ะ  เราออกเดินทางกันเลย จากเต้าเฉินใช้เวลาประมาณ 2 ชม ก็น่าจะถึงย่าติง

ปัญหามันอยู่ที่ว่า (ดาววววว ปัญหาอีกแล้วเร้อะ) มินิแวนมีที่นั่งทั้งหมด 7 รวมคนขับ แต่สมาชิกเรามี 7 ยังไม่รวมคนขับ  แต่ด้วยเป็นทางระยะสั้น เพื่อนเรานางอาสาที่จะไปนั่งบนพื้นรถตรงที่ว่างแทน เพราะนางบอกนางขาสั้นแค่นี้ไม่เป็นปัญหา

ก่อนที่ทุกคนจะเข้าญาณไปเฝ้าพระอินทร์กันหมดทั้ง เราบอกแผนที่มีการปรับเปลี่ยนของพวกเราให้สามสาวได้รับรู้ด้วย เพราะจะได้หาแนวร่วมในการเหมารถกลับพร้อมกัน แล้วในที่สุดสามสาวก็ตกลงว่าเราจะกลับพร้อมกันทั้งหมด 7 คนนี่แหละ 

การเดินทางเช้าขนาดนี้ทุกคนก็สลบไปตามๆกัน แล้วเวลาผ่านไปประมาณเกือบ 1 ชม คนขับก็มาจอดที่วัดแห่งหนึ่ง ให้เราลงไปชมวิว ซึ่งความจริงแล้ว ตรงนั้นก็ไม่ได้มีวิวอะไรให้เราชม แต่คนขับขอลงไปยืดเส้นยืดสาย

165.jpg166

เราก็ลงไปกดแชะๆ แต่อากาศหนาวเลยรีบวิ่งกลับมาขึ้นรถต่อ (ดาวยังไม่พร้อมมมมม ดาวหนาววว)

ส่วนค่ารถที่เหมาจาก เต้าเฉินมายัง ย่าติง คนละ 43 หยวน 

รถเคลื่อนตัวต่อไปมุ่งหน้าสู่อุทยานย่าติง และในที่สุดก็มาถึงตรงหน้าอุทยาน ซึ่งเราจะต้องเดินขึ้นไปซื้อตั๋วเข้าอุทยานกัน

และเป็นตามพี่สมเกียรติบอก ใครที่เกิดปีไก่มีโปรโมชั่นลดราคาบัตรเข้าอุทยาน

เราจ่ายไปคนละ 200 หยวน 

170167168169

ได้ตั๋วแล้วเราต้องเดินไปจุดขึ้นรถบัสภายในอุทยานอีกที รอไม่นานค่ะ เพราะรถเยอะ เราต้องนั่งรถเข้าไป โดยรถจะส่งเราในโซนที่พักปล่อยให้เราลงไปเดินเลือกหาที่พักกันเอาเองค่ะ

172171174173

จากจุดถึงรถกว่าจะมาถึงโซนที่พักในอุทยานใช้เวลาเยอะพอควรเลยค่ะ แนะนำสำหรับคนที่เมารถง่ายให้นั่งริมหน้าต่างเข้าไว้นะคะ เพราะว่ารถจะวิ่งไปตามโค้งข้ามเขาหลายสิบลูกเลยค่ะ

” แกๆ เราไปพักโฮสเทลกันมั้ย นี่คนนี้บออกว่ามีโฮสเทลราคาถูก อยู่โซนที่พักเบอร์ 3 ”

หยา สาวไทยที่สามารถพูดจีนได้ หนึ่งในกลุ่ม 3 คนที่เราเจอบนรถบัสเมื่อวาน  หันมาถามเราเพราะนางคุยกับคนจีนบนรถแล้วเขาแนะนำมา เราหันไปปรึกษาพี่พยาบาลจนได้ความว่าเราจะลงที่พักโซน 3

” งั้นพวกเราลงเบอร์ 3 เนอะ”

“โอเค”

แล้วเราก็มารถตรงโซนที่พักที่ 3 ซึงเมื่อคืนที่พี่สมเกียรติแนะนำเรามาคืนเบอร์ 4 แต่ไม่เป็นไรลงไปดูที่นี่ก่อนอาจจะโอเคก็ได้

175.jpg176รถมาจอดให้ลงหน้าที่พักโซน3

เราลงไปถามราคาที่พักแบบห้องเตียงสองชั้นห้องน้ำรวมก็มี คืนละ 80 หยวน แต่สภาพห้องน้ำรวมบอกตามตรงค่ะว่าดูไม่ได้เลยจริงๆ ส่วนสามสาวเมื่อเห็นแบบนั้นก็ขอถอยทัพ เลือกห้องแบบ 3 เตียงในโรงแรมเดียวกัน  ส่วนราคาค่าห้องราคา 350 หยวน/คืน/ห้องแบบ2คน แต่พี่พยาบาลออกความเห็นว่ามันแพงเกินไป เพราะจะพัก 2 คืน

แล้วเจ้จีนเจ้าของโรงแรมก็เห็นเราลังเล แล้วเริ่มความเห็นไม่ตรงกัน เจ้เลยบอกว่า โรงแรมเจ้อ่ะ เต็มเร็วนะ และตอนนี้ราคาขึ้นเป็นคืนละ 450 หยวนนะ

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยย เจ้ !!!! ทำไมถึงได้เขี้ยวลากดินขนาดนี้

พี่พยาบาลเห็นแบบนี้แล้วไม่พอใจเจ้จีนสุดๆเลยค่ะ เราเลยตกลงว่าให้สามสาวพักที่นี่ไป เพราะพวกเธอได้ห้องที่พอใจแล้ว ส่วนพอเราจะไปหาข้างหน้า

177178179

ที่ซุกหัวนอน

เราออกมาจากโรงแรมเจ้คนนั้นแล้ว ก็เดินไปถามโรงแรมในละแวกก็ได้ความว่า คืนนี้เต็มหมดแล้ว แถมทำหน้าไม่อยากคุยกับชาวต่างชาติแบบเราด้วยสิค่ะ

เริ่มเครียดแล้วสิ หนาวก็หนาว ที่นอนก็ยังไม่มี ปรึกษากับพี่พยาบาลว่าเราจะเดินลงไปดูโซน 4 แบบที่พี่สมเกียรติแนะนำมามั้ย หรือเดินกลับไปโซน 2 ดี

เหตุที่เราปรึกษากันนาน เพราะบนนี้อากาศบางเบา โซนที่พักก็อยู่บนเขา ถึงแม้ระยะทางจะดูไม่ได้ไกลกัน แต่การอยู่บนเขา ต้องเดินผ่านโค้ง กับอากาศที่บางเบานั้นมันทำให้เราเหนื่อยมากกว่าเดิม

181

“Hey Hey”

“Home Home”

มีเสียงใครบางคน กำลังตะโกนมาทางเรา ซึ่งเรามองกลับไปก็เป็นชาวจีน ผู้ชายอายุน่าจะประมาณ 40 เห็นจะได้ กำลังกวักมือพวกเราอยู่ กว่าเราจะเข้าใจว่าเขากำลังบอกว่า

“มาทางนี้ ฉันมีบ้านให้พวกเธอพักนะ”

ใช่ค่ะ ชายคนนั้นกำลังเสนอที่พักให้กับเรา

180 ห้องพักที่ว่าอยู่ในตึก3ชั้นที่อยู่ริมซ้ายของรูปใบนี้

เรากับพี่ออยเป็นตัวแทนไปดูห้องพัก

เฮียชาวจีนพาเราขึ้นไปดูห้องพักในบ้านของเขาที่อยู่ชั้นสาม แต่ที่น่าประหลาดคือ บ้านของชายนั้น มันคืออาคารเดียวกับโรงแรมเจ้เขี้ยวคนที่เราไปต่อรองเรื่องโรงแรมตอนแรก ชายคนนั้นพาเราเดินเข้าไปดูห้อง ที่ต้องเดินผ่านห้องนอนของเขาเองที่อยู่ชั้น 1  ถัดมาเป็นห้องเก็บของที่มีเครื่องมือก่อสร้างเต็มไปหมด ชั้นมายังชั้น 2 ก็จะเป็นห้องทำงานของเขา แต่มันไม่ใช่ออฟฟิศ ต้องเอกสารหรืออย่างใดนะคะ มันคือห้องที่กำลังใช้เลื่อยไม้ เราเดินชั้นมาจนถึงชั้น 3

ชั้น 3 มีห้องนอนที่แบ่งให้นักท่องเที่ยวพักทั้งหมด 3 ห้อง อีก หนึ่งห้องเป็นห้องพระของบ้าน  ในห้องมีเตียงนอน 2 เตียง มีตู้เก็บของ ที่นอนถูปูด้วยผ้าปูที่นอนแบบเดียวกับโรงแรม

เรายังไปยิ้มกริ้มกับพี่ออย  (แล้วคิดในใจว่า โอ้วววววว ดาวววววรอดแล้วมีที่นอนแล้ว)

พี่ออยถามราคาค่าห้อง ได้ความว่าค่าห้องคืนละ 100 หยวน ซึ่งมันเป็นราคาที่ถูกมากกกกกกกกกกกกก เราตอบตกลงแบบไม่ต้องคิดทบทวนใดๆ  แล้วก็ตะโกนเรียกเพื่อนให้ขึ้นมาด้านบน เอาของเก็บในห้อง ส่วนพี่ออยนั้นลงไปข้างล่าง เพราะเฮียชาวจีนจะพาไปดูห้องน้ำ

186185183182184

“มึงๆ มาดูห้องสิ ถูกมากเลย ราคาแค่คืนละ 100 หยวนเอง”

“จริงดิ สภาพโอเคมั้ย”

เราตะโกนจากชั้น 3 ให้เพื่อนรีบขึ้นมาดูห้องด้วยความภาคภูมิใจของตัวเอง ว่าสามารถหาของดีราคาถูกได้

เพื่อนเราเดินเข้ามาในห้อง แล้วก็เดินตรงไปที่เตียงนอน นางลากผ้าห่มที่คลุมเตียงออก เรามองด้วยความสงสัยว่า มันกำลังทำอะไรของมันว้ะ

“มึงงงงงงงงงง !!!”

“มึงจะตกใจอะไร อยู่กันแค่นี้จะเสียงดังทำไม”

“ไม่มีที่อุ่นเตียง !!! ”

เราได้ยินแบบนั้นก็รีบเปิดผ้าห่มที่คลุมเตียงออกดู จริงด้วย ไม่มีที่อุ่นเตียง

“ชิบหายยยยยย !! เงินก็จ่ายไปแล้วไง นี่กูลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลยว้ะ มัวแต่ดีใจว่าสภาพห้องโอเคแถมราคาถูก”

เรากับเพื่อนมองหน้ากันต่างคนต่างรู้แล้วว่างานเข้าแล้ว  เราจึงเดินไปหาพี่พยาบาลที่อยู่ห้องติดกัน

“พี่ๆมันไม่มีที่อุ่นเตียงอ่ะ”

“อื้ม พี่ก็พึ่งรู้ตะกี้เอง”

“แล้วเราจะนอนกันยังไงอะค่ะ หนาวแน่เลย”

“พี่ว่าเราใส่ชุดหลายๆชั้นเราก็น่าจะนอนได้นะ พี่เห็นอีกห้องก็มีคนพักนะ แสดงว่าเขาก็ต้องนอนได้แหละ”

เราพยักหน้าแม้ในใจจะค้านสุดใจ

“เอ้อ แล้วห้องน้ำละค่ะ”

“ห้องน้ำให้ใช้ที่เดียวกับห้องน้ำรวมของโรงแรมเจ้นั้นแหละ  แต่พี่ว่าเราคงไม่ได้อาบน้ำแน่สองคืนนี้ เพราะห้องน้ำไม่ไหวเลย”

เห้ออออออออออออออออออออ

ฟังพี่พยาบาลบอกเรื่องห้องน้ำแล้ว บวกกับการต้องนอนหนาวบนความสูงขนาดนี้ได้แต่ถอนหายใจ

“พี่ว่า เราเริ่มโปรแกรมวันนี้เหอะ นี่ก็เที่ยงแล้ว เราเสียเวลากับที่พักมามากละ เดี๋ยวเราไปหาข้าวกินกันก่อน จะได้ซื้อน้ำติดตัวกันด้วย”

ข้อดีอย่างเดียวของที่พักโซน 3 คือ วิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ทำรูปแล้ว-จีน_๑๗๑๒๑๓_0239ทำรูปแล้ว-จีน_๑๗๑๒๑๓_0238

YADING 

กว่าเราจะเคลียร์เรื่องที่พักกันเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยมาจนเที่ยงละค่ะ  เราตกลงกันว่าวันนี้เราจะไปเดินรูทสั้น ซึ่งใช้เวลาไปกลับไม่น่าจะเกิน 4 ชม

เราเลยออกไปหาข้าวเที่ยงกินกันก่อน บนอุทยานโซนที่พักมีร้านอาหารอยู่หลายร้านเหมือนกัน เราเลือกร้านที่อยู่ไม่ไกลมาก และอยู่ติดกับร้านขายของชำ

เข้ามานั่งในร้านแล้ว พนักงานหน้าตาไม่ค่อยอยากรับแขกต่างชาติสักเท่าไหร่ เดินเอาเมนูภาษาจีน ที่ไม่มีรูปภาพใดๆเลย แถมวางกระดาษให้เราจดเอง แล้วก็เดินเข้าไปในครัว โดยไม่สนใจว่าเราจะสั่งอาหารได้มั้ย !!

“ไม่เป็นไร พี่วาดเอง”   พี่พยาบาลสาวลงมติ

187

มื้อนี้เราสั่งไข่เจียว 2 จาน ข้าวคนละถ้วย กินเสร็จเรียกเก็บตังค์

มื้อนี้สนนราคา 200 หยวน !!! แม่จ้าวววววววววว  นี่เรากินไข่เจียวราคาจานละ 500 บาท เลยหรอ !!

188.jpg

เราทานข้าวกันเสร็จไปหาซื้อน้ำเปล่าติดตัว เรากับเพื่อนสองคน ติดไป 3 ขวด

เส้นทางการเดิน Trekking ในอุทยาน Yading 

190.jpg

รูทสั้น > ปลายทางคือ ทะเลสาบไข่มุก ใช้เวลาเดินทางไปกลับประมาณ 4 ชม อยู่ที่ความสูง 4080 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินรูทนี้ในวันแรก เพราะใช้เวลาแค่ช่วงบ่ายก็พอ 

รูทยาว > ปลายทางคือ ทะเลสาบห้าสี และ ทะเลสาบน้ำนม ใช้เวลาเดินทาง 8-10 ชม ควรเริ่มเดินทางตั้งแต่ 8 โมง 

ทะเลสาบไข่มุก

วันนี้เราจะเดินในรูทสั้นค่ะ โดยเราจะขึ้นรถบัสในอุทยานไปส่งตรงทางแยก ตรงจุดแดงๆในแผนที่ค่ะ

(เราสามารถยืนรอขึ้นรถบัสได้ตรงริมถนนเลยนะคะ  คันสีขาวคือรถที่จะพาออกไปด้านหน้าอุทยาน คันสีเขียวคือรถที่วิ่งเฉพาะอุทยานเท่านั้น)

มาถึงจุดเริ่มต้น เราจะเดินแยกไปทางขวาค่ะ รูทนี้เดินไม่ยากค่ะ ทางส่วนใหญ่ทางจะเป็นสะพานเหล็ก เดินเพลินๆกันไปได้ค่ะ  ถือว่าเดินชิลๆวอร์มร่างกายสำหรับพรุ่งนี้

แนะนำว่า ไม่จำเป็นต้องรีบเพื่อให้เดินทันใครหรือนำหน้าใคร ให้เรารู้ศักยภาพของตัวเองอย่าฝืนตัวเองเข็ดขาด เพราะถึงเส้นทางนี้จะเดินง่าย แต่ด้วยระดับความสูงที่ประมาณ 4000 เมตรจากระดับน้ำทะเลจะทำให้เรา เหนื่อยให้ง่ายขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ถ้ามีอาการเหนื่อยหายใจไม่ทัน ให้หยุดพักทันที เราอาศัยการหยุดพักและจิบน้ำเอาค่ะ ซึ่งทางเดินแบบนี้น้ำดื่มสำคัญมากๆ  และถ้าใครไม่ไหวจริงๆ ออกซิเจนกระป๋องช่วยได้เยอะเลยค่ะ  

วันนี้เราโชคดีมากที่ท้องฟ้าเปิด แดดแรง ฟ้าใสแจ่ว

เดินมาแค่ 10 นาที ระหว่างทางก็สวยมากแล้ว บอกตามตรงค่ะ ตอนนี้ใจเราเต้นตึกๆตลอดเวลา ข้างทางมันสวยมากๆ จนกำลังเราแวะพักได้ตลอดเส้นทาง ( จริงๆ ดาวอู้ แต่ดาวอ้างว่าดาวถ่ายรูป 555555)

193194195.jpg199198196197

ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมใครๆก็อยากมาย่าติง ภาพตรงหน้าเรามันเหมือนภาพบนหน้าจอคอม ที่เราไม่คิดว่ามันจะมีจริง และใครจะเชื่อว่าตอนนี้ วิวนี้ มันอยู่ที่ประเทศจีน

จากจุดนี้จริงๆถือเป็นแค่จุดเริ่มต้น หลังจากนี้จะเริ่มเดินเข้าเส้นทางของรูทสั้นจริงๆแล้วค่ะ

200201

อีกหนึ่งไอเทมที่อยากให้ติดตัวมาคือ ชอกโกแลต มันจะให้พลังงานเราได้เยอะเลยค่ะ 

202

เราแวะพักกันไปเรื่อยๆค่ะ แม้ทางเดินจะทำไว้ดีและเดินง่าย แต่มนุษย์พื้นราบแบบเราที่ต้องเดินขึ้นไปยังความสูง 4000 เมตร แบบนี้เราจะเหนื่อยง่าย และอาจเจออาการแพ้ความสูงได้ค่ะ  เราต้องไม่กดดันตัวเอง เดินเท่าที่เราไหว ไม่ไหวคือหยุดพัก ไม่ต้องห่วงว่าจะเหงา เส้นทางนี้มีคนเดินเป็นเพื่อนเราตลอดทางค่ะ

204205208206207

เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชม เกือบ 3 ชม ในที่สุดเราก็มาถึง ทะเลสาบไข่มุก ทะเลสาบสีเขียวที่มีฉากหลังเป็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่รูปทรงคล้ายกับภูเขาที่สวิตเซอแลนด์  บอกได้คำเดียวว่ามันคุ้มค่ากับที่เราเหนื่อยเดินขึ้นมามากค่ะ

ถึงแม้ช่วงที่เราไป (ตุลาคม 2560) น้ำที่ทะเลสาบไข่มุกแห้งไปเยอะ แห้งจนเราสามารถเดินลงไปนั่งเล่นใกล้กับภูเขาด้านหลังได้ค่ะ  ถ้าใครมาแล้วได้เจอน้ำเต็มทะเลสาบคงสวยกว่านี้เยอะค่ะ แต่สำหรับเราแค่นี้ก็สวยมากแล้วละ

บางครั้งเราก็ไม่ควรคาดหวังกับอนาคตข้างหน้ามากจนเกินไป  เพราะมันอาจจะทำให้เราผิดหวังเมื่อมันไม่เหมือนกับที่เราหวัง 

…. ปรัชญาบนภูเขาจากนักหนีเที่ยว

209210211213214

ด้านบนที่สามารถถ่ายรูปแล้วเห็นทะเลสาบคนจะเยอะหน่อยค่ะ มีคุณลุงชาวจีน ชาวญี่ปุ่น ที่มาพร้อมกล้องเทพๆมากมาย เราถ่ายจนหน่ำสนใจแล้วก็ขอเดินลัดเลาะตามขอบทะเลสาบลงไปตรงพื้นกรวดหน้าภูเขาหิมะ

แต่หน้าเสียดาย ที่วันนี้มีเมฆก้อนใหญ่มาตามติดยอดเขา ไม่ยอมให้เราได้มีรูปยอดเขากับฟ้าสีฟ้าเลย

215216217218220

ตอนเราเริ่มเดินในวันนี้ ตอนต้นทางเรากับพี่พยาบาลมาพร้อมกัน แต่เมื่อเดินมาสักพัก เราก็หาพี่พยาบาลไม่เจอ ไม่รู้ว่าอยู่หน้าเรา หรือหลังเรา แต่สุดท้ายเราทั้ง 4 คน ก็มาเจอกันที่ปลายทาง (ถ้าใครสงสัยว่า 3 สาวหายไปไหน วันนี้เราไม่ได้เดินพร้อมกัน เพราะแยกกันตั้งแต่ที่พักเลยไม่ได้นัดกันตอนเดิน)

หลังจากเราถ่ายรูปกันจนหน่ำใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเดินลง ขาลงไม่ยากค่ะ ไม่เหนื่อย เราเดินชมวิวกันมาเรื่อยๆ ขาลงเราใช้เวลาประมาณ 1 ชม ก็มาถึงทางแยกที่เราลงรถบัสเมื่อเช้า เมื่อลงมาถึงแล้วก็ให้รอรถบัสกลับที่พักกันค่ะ

รถสีเขียววิ่งเฉพาะในอุทยาน ส่วนใครจะออกไปด้านหน้าอุทยานให้ขึ้นรถสีขาวนะคะ

223

หนาวตาย

เรานั่งบัสมาจนถึงหน้าที่พัก เราทุกคนขึ้นมาบนห้องเพราะเหนื่อยมากละ อยากเอนหลังพักสักหน่อย

ก่อนขึ้นห้องพัก แวะถามเฮียชาวจีนเจ้าของที่พักว่ามีหม้อต้มน้ำรึป่าว แต่เฮียกลับส่งกระติกน้ำที่ใส่น้ำร้อนที่ต้มไว้เรียบร้อยแล้วมาให้เรา

เจ้าของที่พักแห่งนี้เป็นคนน่ารักมากนะคะ เขาไม่ใช่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เราเดากันว่าเขาคือชายชาวทิเบต เหตุเพราะตอนเราคุยเรื่องราคากัน เราส่งเครื่องคิดเลขในไอโฟนให้เฮียแกกด เฮียบอกว่าไม่เข้าใจ ส่งตัวเลขภาษาจีนที่เราปริ้นใส่กระดาษมา เฮียแกก็ไม่เข้าใจค่ะ  เราว่าตรงนี้น่าจะเป็นพื้นที่ของเฮียเอง แต่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่มาขอใช้พื้น แล้วให้ผลตอบแทนด้วยการแบ่งส่วนหนึ่งของตึกที่เป็นโรงแรมให้เฮียอยู่ 

“มึงงงงงงงงง มันเย็นนนนนนนนนนนนน ”

เราร้องลั่นเมื่อตูดไปแตะเบาะที่นอนในห้องพัก

ตอนนี้เราลงมานั่งที่พื้นไม้ของห้องแทนนั่งบนเบาะ เพราะมันอุ่นกว่าบนเบาะซะอีก

“มึง เราจะนอนยังไงว้ะ คืนนี้ ตื่นมาไข้ขึ้นแน่นอน แล้วพรุ่งนี้เราจะเดินไหวหรอว้ะ”

เราพรั่งพรูความเครียดที่มีอยู่ ออกไปให้เพื่อนรับรู้ ซึ่งเพื่อนเราก็เครียดไม่ต่างกัน เพราะถึงแม้เราจะใส่เสื้อผ้าหนาแค่ไหน เราก็ไม่น่าจะอุ่นได้บนเตียงนี้ แล้วการที่เราไม่ได้อาบน้ำคืนนี้มันอาจจะหมักหมมความเหนื่อยล้าเอาไว้อีก

เราถือวิสาสะเปิดตู้เก็บของในห้อง แล้วก็เจอผ้าห่มหนาที่น่าจะช่วยให้เราอุ่นได้ แต่มันแค่ 1 ผืนใหญ่ และ 1 ผืนเล็กเท่านั้นเอง ซึ่งเรามีกัน 4 คน   เอาจริงๆ ถ้าเรามีถุงนอนที่ทนอากาศติดลบได้ หรือใครที่กำลังจะมาย่าติง ถ้ามีถุงนอน เราแนะนำให้ติดมาด้วยแล้วมาพักบ้านของอาเฮียคนนี้ จะประหยัดค่าที่พักในย่าติงได้เยอะมากเลยค่ะ 

เราเดินไปหาพี่พยาบาลที่อยู่ในห้องติดกัน เพื่อจะปรึกษาปัญหาการนอนในคืนนี้ แต่เมื่อเราเข้าไปในห้อง พี่พยาบาลหนึ่งในสองคนนี้ กำลังนอนสั่นอยู่บนเตียงที่อุณหภูมิไม่ต่างกับที่เราสัมผัสบนเตียงเรา

“พี่โบตั๋นเป็นอะไรรึป่าวค่ะ สีหน้าดูไม่ดีเลย กินยารึยัง”

“พี่เหมือนจะไม่สบายน่ะ แต่พี่กินยาแล้วเดี๋ยวคงหาย”

“แล้วนอนบนเตียงไม่หนาวหรอค่ะ”

“หนาวสิ แต่ทำไงได้”

“งั้นพี่ๆรอนี่นะ เดี๋ยวมาจะลงไปถามเฮียเจ้าของหน่อย ว่าพอมีอะไรที่ช่วยคลายหนาวได้อีกบ้าง”

เราบอกพี่พยาบาลเสร็จก็เดินลงมา ตั้งใจจะไปถามเฮียเจ้าของพี่พักว่า พอจะมีอะไรที่ช่วยให้อุ่นขึ้นบ้างมั้ย เดินลงมาก็เจอเฮียแกนั่งเล่นอยู่หน้าโรงแรม มีลูกสาวตัวน้อยที่กำลังดูดขวดนมอยู่ในมือตลอดเวลาอยู่ข้างๆด้วย เราตรงเข้าไปถามเฮียแก แน่นอนค่ะ เฮียแกไม่เข้าใจเรา เพราะเราพูดจีนไม่ได้ และเฮียแกก็ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก แต่ตรงนั้นมีชาวจีนที่ดูแล้วพอจะเข้าใจภาษาอังกฤษได้บ้าง เฮียแกเลยให้ชายคนนั้นช่วยแปลให้หน่อย แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้เข้าใจเราในทันที จนเราต้องทำท่ากอดอกแล้วหนาวๆ เหมือนเด็กๆทำกัน ถึงจะเข้าใจว่าเราต้องการอะไร

เมื่อเฮียเจ้าของที่พักเข้าใจความต้องการของเรานั้น ก็บอกให้เราเดินตามเฮียแกไปในบ้าน โดยมีลูกสาวเกาะอยู่หลังด้วย เฮียแกพาเราเข้ามาในห้องนอนแก ซึ่งในห้องนั้นมีกองไฟสำหรับหุงอาหารอยู่กลางห้อง มุมซ้ายของห้องมีเบาะเก่าๆ ไม่มีผ้าปูที่นอน มีเพียงผ้าห่มสีหมองๆอยู่บนเตียง ในห้องไม่มีการปูพื้นที่ดีมีแค่แผ่นไม้วางๆอยู่

ตอนแรกเราสงสารตัวเองที่ไม่รู้คืนนี้จะหนาวตายรึป่าว แต่เมื่อเข้ามาในห้องนอนของเฮียแก เราสงสารเฮียแกมากกว่า แล้วลูกสาวตัวน้อยของเฮียแกที่เราคิดว่ากำลังกินนมจากขวดนมนั้น แท้จริงแล้วมันแค่น้ำต้มขุ่นๆ เองค่ะ

224.jpg

เฮียแกเดินนำเราไปนั่งที่หน้ากองไฟ แล้วบอกให้เรากับเพื่อนนั่งลงแล้วเอามือไปอังไฟเพื่อรับความอุ่นของเปลวไฟ เรานั่งอังไฟไป เล่นกับลูกเฮียแกไป แต่ในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยคำถามว่า คืนนี้จะเอายังไงดี

เราหันไปมองหน้าเพื่อน เพื่อส่งความรู้สึกที่มีผ่านสีหน้าไปให้เพื่อนรับรู้ เรานั่งอังไฟไปประมาณ 15 นาที เราจึงขอตัวออกมาจากห้องนอนของเฮียเจ้าของที่พัก  แล้วปรึกษากับเพื่อนว่า เราจะลองเดินลงไปโซน 2 เผื่อจะมีที่พักว่างบ้าง

เราเดินลงไปบริเวณที่พักโซน 2 แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด โรงแรมนี้อารมณ์คล้ายๆอพาร์ทเม้นท์เก่าๆหน่อย เราเดินเข้าไปเจอล็อบบี้ แต่ไม่มีใครเราเลยเดินขึ้นไปชั้น 2 แล้วก็เจอกับลุงชาวจีนอายุน่าจะประมาณ 60 กว่าๆแล้วล่ะ เราเลยถามลุงว่า ลุงยังมีห้องว่างมั้ย แน่นอนค่ะ ลุงไม่เข้าใจภาษาอังกฤษที่เราพูด

เราเลยพูดพร้อมชี้ไปที่ประตูห้อง ” Room Room”

ลุงเลยพยักหน้า แล้วบอกให้เราเดินตามขึ้นไป  ลุงเปิดประตูห้องชั้น 2 ที่เป็นห้องริมทางขวาใกล้กับห้องครัวของครอบครัวลุง โชคดีที่ตอนนั้นมีสาววัยรุ่นชาวจีน 2 คน ผ่านมาพอดี ลุงเลยเรียกมาเป็นล่ามระหว่างลุงกับเรา วัยรุ่นชาวจีนที่มาเป็นล่าม ถึงแม้ภาษาอังกฤษจะไม่ได้ดีมากมาย แต่ก็พยามทำความเข้าใจกับเราสุดๆ ซึ่งบอกตามตรงค่ะ ว่าเราประทับใจเขามาก อย่างน้อยเขาก็น่ารักที่พยามคุยให้เรา

เราได้ข้อสรุปว่า ลุงมีห้องเหลืออยู่หนึ่งห้อง ปกติห้องอื่นจะมีสามเตียงแต่ห้องนี้มีสองเตียง ลุงบอกนอนได้สามคนนะ ให้ราคาคืนละ 300 หยวน

สภาพห้องโดยรวมโอเคค่ะ มีเครื่องอุ่นเตียง ห้องน้ำมีหม้อต้มสามารถอาบน้ำอุ่นได้ ชักโครกเป็นแบบนั่งราด (แต่มันไม่มีน้ำให้ดาวราด แต่มีกะละมังให้รองน้ำเอาเอง 5555555) 

“เอา 2 คืนนะลุง ว่างมั้ย”

“โอเคๆ 600 หยวนนะ ค่ามัดจำกุญแจอีก 100หยวน”

เราหันไปมองหน้าเพื่อน ยังไม่ได้เอ่ยปากปรึกษากันเลย

“จะพักมั้ย ถ้าพักก็จ่ายเงินมา ไม่พักก็ออกไปเลย”

“โอเคๆๆลุง 700 หยวนนะ ตอนเช็คเอ้าท์คืนด้วยนะลุง 100หยวน”

“โอเคๆ” ลุงรับเงินเสร็จก็จะเดินทางไปเลย

“ลุง !! กุญแจห้องด้วย”

ลุงหันมาส่งกุญแจห้องให้เราแล้วก็เดินทางไปทันที ทิ้งให้เราและวัยรุ่นชาวจีนยืน งง อยู่ในห้อง เราหันไปขอบคุณ 2 สาววัยรุ่นชาวจีน แล้วรีบเดินกลับมาบอกข่าวกับพี่พยาบาลทั้งสองคน

ลงเรือลำเดียวกัน

“หายไปไหนกันมา นานมาก”

“หนูได้ห้องใหม่แล้ว เรานอนไม่ได้หรอกนะห้องนี้มันหนาวขนาดนี้ ดูพี่โบตั๋นสิเป็นไข้แล้วนั้น”

“รู้ได้ไงว่าพี่เป็นไข้”

“โหหหหห ไม่รู้ได้ไงล่ะ ปากม่วง หน้าแดงขนาดนั้น ถ้าขืนปล่อยให้พี่นอนบนเตียงที่หนาวแบบนี้ พรุ่งนี้เช้าพี่ไม่ไหวแน่ เราทั้งหมดคงต้องไปโรงบาลแทนขึ้นเขาแน่นอน”

เราเล่าเรื่องให้พี่พยาบาลทั้งคู่ฟังเกี่ยวกับห้องใหม่ที่เราไปเจรจามา แต่ห้องนั้นมันมีแค่2เตียงที่ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่เราก็นอนเบียดกันไปได้อยู่แล้ว มันดีที่มันมีที่อุ่นเตียง มีห้องน้ำที่มีน้ำร้อนให้เราอาบ อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็คงไม่มีใครหนาวตาย และอย่างน้อยเราก็ไม่ควรมาตกม้าตายเพราะแบบนี้ อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกล จะให้อุปสรรคแค่นี้มาทำให้เราไม่ไหว ไปต่อพรุ่งนี้ไม่ได้ เราก็คงไม่ยอม

“แต่เราจะบอกเฮียเจ้าของที่นี่ยังไงอ่ะ”

“หนูว่าก็ต้องบอกเขาไปว่าเราหนาว เรานอนไม่ได้”

“หรือว่าเราจะพักแค่ 1 คืน เพราะพี่ป่วยมั้ย เราเลยต้องย้าย ไม่งั้นพี่คงแย่ ”

“โอเค งั้นตกลงตามนี้นะ”

เราจะลงไปเจรจากับเฮียเจ้าของที่พัก แต่เหมือนเฮียแกจะรู้ใจ เฮียแกเดินขึ้นมาเปิดไฟหน้าห้องเราพอดี เราเลยได้โอกาสบอกเฮียว่า เราจะพักแค่คืนเดียวนะ เรายังคุยไม่จบเฮียแกเข้าใจซะแล้ว เฮียแกบอกว่าเฮียแกจะคืนเงินค่าห้องของคืนพรุ่งนี้ให้ พูดจบเฮียแกก็ควักเงินคืนพวกเราทันที 

เอาจริงตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าพวกเราคุยกับเฮียแกเข้าใจแบบง่ายๆได้ไง ทั้งที่เราใช้กันคนละภาษา

หลังเราเจรจาเรียบร้อย เราทั้งหมดก็รีบเก็บของอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้ฟ้ามืดแล้วอากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราต้องเดินขึ้นเนินจากที่พักโซน 3 ไป โซน 2 ถึงมันจะไม่ไกล แต่มันยังขึ้นเนินและสัมภาระบวกอากาศที่หนาว มันทำให้เราเดินไปถึงไม่ง่ายเลย

20.00 น

ในที่สุดคืนนี้เราก็ไม่หนาวตาย  ในที่สุดคืนนี้เราก็มีน้ำอาบ

225226227

เราทั้ง 4 คนเข้ามาในห้อง ต่างคนต่างจัดของเตรียมสำหรับการ Trekking ที่แท้จริงในวันพรุ่งนี้ คืนนี้เราไม่ออกไปทานข้าวข้างนอกละค่ะ แต่เปลี่ยนเป็นการไปขอน้ำร้อนจากครอบครัวลุงเจ้าของที่พักมาใส่มาม่าที่เตรียมมาจากเมืองไทยแทน

โรงแรมที่เรามาพัก เราสังเกตว่าจริงๆจะมีแค่ชาวจีนเท่านั้นที่พักที่นี่ เพราะตอนเราเดินขึ้นมาบนห้อง คนที่เดินผ่านพวกเราทุกคนก็มองแปลกๆ ประมาณว่ามาพักที่นี่ได้ไง

คืนนี้เราพวกเราต้องนอนที่ความสูงประมาณ 3000 กว่าเมตรจากน้ำทะเล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ความสูงได้  แต่ที่แน่ๆคืนนี้ในห้องของพวกเรามีคนป่วย 2 คน คนแรกคือหนึ่งในพี่โบตั๋นที่มีอาการไข้ ตัวร้อน กินอะไรไม่ลง  ส่วนเพื่อนเราอาการไม่ต่างกันค่ะ แต่ที่มากกว่าน่าจะมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อยอยู่อีก

Day 5 

5.00 เราตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกและอากาศที่หนาวจับใจที่ -4 องศา

เมื่อคืนเราหลับค่อนข้างสนิทมีตื่นมาแค่ครั้งเดียว ตอนที่เพื่อนตื่นมากินยา  ไม่แน่ใจว่าเพราะความเหนื่อยมากของเมื่อวาน หรือเพราะยา Diamox ที่ช่วยให้เรานอนหลับได้ค่อนข้างสนิท

เช้าวันนี้พวกเราต้องตื่นมาจัดการตัวเองกันตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้จะเป็นวันที่สำคัญที่สุดของทริปนี้เป็นวันที่ทำให้เราดั้นด้นมาถึงประเทศจีน ประเทศที่ไม่คิดว่าตัวเองจะมา วันนี้เราจะต้องเดิน Trekking ขึ้นไปที่สูงจากระดับน้ำทะเลเยอะกว่าเมื่อวาน  และระยะทางที่ไกลกว่า 

เช้านี้คนป่วยในห้องเราทั้ง 2 คน ซึ่งพี่โบตั๋นที่ป่วยและถอดใจตั้งแต่เมื่อคืน ว่า วันนี้คงไม่ไหว เพราะขึ้นไปก็คงพาตัวเองไม่ถึงด้านบน แต่เพื่อนเราถึงนางจะป่วย แต่ด้วยความงก ก็บอกว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว วันที่ก็เป็นวันที่ 5 แล้ว ก็ลองไปแล้วกัน ถ้าไม่ไหวก็นั่งรอตรงจุดนั้นๆไป ค่อยว่ากัน แต่ถ้าต้องนอนรออยู่ที่ห้องคงเสียใจและเจ็บใจตัวเองแน่นอน  บิ้วกันไปกันมา ในที่สุดพี่โบตั๋นก็ยอมไปกับด้วยกัน

เราตั้งใจว่าวันนี้เราจะขึ้นบัสในอุทยานตั้งแต่รถรอบแรก เพื่อไปทางแยกที่ไปมาเมื่อวานเพื่อเดินต่อไปซื้อตั๋วขึ้นรถกอล์ฟแต่เช้า เพราะยิ่งเราเริ่มเร็ว เราก็จะมีเวลาอยู่ด้านบนมากขึ้น

วันนี้เราต้องเตรียมข้าวกล่องไปกินระหว่างทาง Trekking ด้วยค่ะ ซึ่งเราแนะนำข้าวกล่องจีนค่ะ มันอุ่นร้อนได้ด้วย ซื้อได้จากร้านชำ กว่าเราจะจัดการสัมภาระกันเสร็จเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเข้าไป 7 โมงกว่าแล้วค่ะ

เราเสียเวลาให้กับวิวภูเขาหน้าที่พักนานกว่าแต่งตัวอีกกกกกกกกกกก

เช้านี้ดูท่าท้องฟ้า อากาศ น่าจะเป็นใจกับเราค่ะ

228229230

เราขึ้นบัสหน้าที่พักมาลงจุดเดิมเหมือนเหมือนวานค่ะ ซึ่งจากจุดนี้เราต้องเดินขึ้นไปซื้อตั๋วรถกอล์ฟก่อน จริงๆจากทางแยกที่บัสภายในอุทยานมาส่งเรานั้น เราสามารถเดินไปได้ทั้ง2ทางนะคะ ยังไม่ต้องแยกไปฝั่งซ้ายก่อนก็ได้ เพราะทางเดินฝั่งซ้ายจะเดินยากจะเสียพลังงานกว่าทางขวา เราเลือกเดินแยกไปทางขวาเดินบนสะพานเหล็กแบบเมื่อวาน แล้วเราจะผ่านจุดที่เป็นสะพานไม้ที่เป็นจุดถ่ายรูปเห็นธารน้ำ ซึ่งตรงนั้นเราจะเห็นตู้คล้ายออฟฟิศ ก็ให้แยกไปฝั่งซ้ายไปซื้อตั๋วรถกอล์ฟกันค่ะ (ส่วนแยกไปฝั่งขวาจากจุดนี้ก็คือที่เราไปมาเมื่อวานนั้นเอง)

เรายังคงเสียเวลากับการถ่ายรูปข้างทางไปเรื่อยๆๆ (ดาวววคงไม่ถึงง่ายๆแน่นอน)

231233232234

เดินตามทางมาเรื่อยๆจะเจอลานกว้างเป็นจุดแยกของการแยก Trekking เราแยกไปทางซ้ายเพื่อไปซื้อตั๋วรถกอล์ฟ ซึ่งถ้าใครอยากประหยัดก็สามารถเดินไปเองได้ ระยะทางประมาณ 3 กม (ใครลองเดินแล้วมาบอกดาวด้วยนะ ว่ามันเหนื่อยแค่ไหนนนน) ซึ่งไม่ว่าจะเดินไปเองหรือนั่งรถกอล์ฟก็จะไปเจอกันที่ทุ่งหญ้าหลงลัว

ตั๋วรถกอล์ฟ ไป-กลับ ราคา 50 หยวน/คน (เที่ยวเดียว 30 หยวน) 

ช่วงเวลาที่เราไป (ตุลาคม) รถกอล์ฟจะหมด 18.30 น ซึ่งคืนนี้เรานอนในย่าติงอีก 1คืน เราก็เลยไม่รีบ ไม่ต้องกดดันตัวเอง ไปเรื่อยๆตามกำลังของเรา

237238236

ได้ตั๋วแล้วก็ไปรอขึ้นกอล์ฟกันค่ะ  รถคอยให้บริการเยอะมาก ไม่ต้องแย่งกันค่ะ หรืออาจจะช่วงที่เราไปยังไม่เข้า Hi Season ของย่าติง คนเลยไม่เยอะมาก

240239.jpg241.jpg242243วิวภูเขาหิมะข้างหน้าที่ทำให้ทุกคนในรถร้อง “โห้ววววววววววววว”

เรามาถึงทุ่งหญ้าหลงลัว ตอนนี้อากาศหนาวมากกกกกกกกกกกกกกกก 1.5 องศา เราหยุดถ่ายรูปตรงนี้ไม่นานเพราะตอนนี้มือจะแข็งแล้ว

244245246247248

8.00 เราเริ่ม Trekking

เส้นทางเริ่มแรกจะยังเดินไม่อยากค่ะ ชิลๆ วันนี้คนค่อนข้างเยอะ

วันนี้แดดดีมาก แต่อยากจะบอกว่าลมก็แรงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เราเดินไปแวะถ่ายรูปไป (ดาวไม่รีบบบบ ดาวชิลลลลลล)

249251250252254255260

สำหรับใครที่อยากเดิน Trekking รูทยาววันนี้แต่ไม่แน่ใจว่าร่างกายตัวเองจะไหวมั้ย เราแนะนำว่าไม่ต้องรีบค่ะ ไม่ต้องเดินให้เท่าใคร ไม่ต้องรอใคร หรือ ไปพร้อมใคร เพราะถึงเราจะแยกกันเดิน แต่สุดท้ายเราก็จะเจอกันเรื่อยๆตลอดเส้นทางอยู่ดี

253

และใครที่มีอาการปวดเข่า (แบบดาววววววว ถึงดาวยังไม่แก่แต่ดาวมีปัญหาเรื่องเข่า) เราแนะนำให้ติด Trekking Poles ไปด้วยนะคะ เพราะมันช่วยให้มนุษย์ปวดเข่าแบบเรา เดินได้คล่อยขึ้นเยอะ โดยเฉพาะขาลง ส่วนใครลืมเอาไปจากไทย ที่โรงแรมในย่าติงส่วนใหญ่จะมีให้เช่าค่ะ

256

เดินรูทนี้ก็ต้องคอยฟังเสียงกรุ้งกริ้งจากม้าไว้ให้ดีนะคะ เพราะว่าจะมีม้าให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินไม่ไหวและต้องกระเป๋าหนักพอสมควร (ซึ่งแบบดาว เดินเอาเหอะดาวววววววววววววววว) เท่าที่เห็นจะมีเจ้ๆคนจีนใช้บริการกันเยอะเหมือนกันค่ะ

258.jpg259

เดินกันมาเรื่อยๆประมาณเกือบ 1 ชม เราก็มาถึงแอ่งน้ำที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ สวยมากกกกกกกกกกก (ตอนนั้นดาวเดินไปถ่ายรูปไป ลิ้นก็ห้อยไป นึกว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว นึกว่าดาวถึงเร็ววววว โถ้วววว เรื่องมั่วไว้ใจดาววววววว)

261262264265

การได้มาเจอวิวนี้เรา เหมือนการได้พักเท้าของเราค่ะ แล้วเราต่างคนก็ต่างรัวชัตเตอร์ของตัวเองไม่ยั้ง อยากจะบอกว่าถึงแม้ใครจะคิดว่าตัวเองคงเดินไม่ไหวรูทนี้ มันเหนื่อย มันไกล เราก็ยังไงยืนยันว่าให้มานะ ถึงแม้ว่าสุดท้ายเราจะไม่ถึงปลายทาง แต่แค่ระหว่างทางก็สวยไม่แพ้ที่ไหนเลยจริงๆ

ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ลมหนาวเริ่มมาอีกครั้ง เราเริ่มเดินต่อ ทางชันขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังเดินไม่ยากค่ะ

266267268269270271

เดินไปแป๊บๆ หยุดถ่ายรูป

เดินไปแป๊บๆ กินน้ำ

เดินไปแป๊บๆ สูดออกซิเจนกระป๋อง

เราทำแบบนี้วนลูปไปเรื่อยๆ

จนตอนนี้เวลาใกล้เที่ยงแล้วค่ะ เรานั่งพักอยู่จนในที่สุดทีมเราทั้งหมดก็มาเจอกันครบ

“หิวกันมั้ยทุกคน”

ไม่ต้องตอบเป็นคำพูด แต่หน้าตาทุกคนนี้บอกได้คำเดียวว่า “กูหิวข้าววววววววววววววววววววววว”

283.jpg

มองนาฬิกาดูแล้วตอนนี้อีกประมาณ 30 นาทีจะเที่ยง เราตกลงกันว่าเราจะกินข้าวเที่ยงตอนนี้เพราะไม่มีแรงเดินต่อละ อีกอย่างเราจะได้สลัดสัมภาระ(ข้าว)ที่แบกออกจากบ่าสักที

มองหาพื้นที่เหมาะสมในการตั้งวงนั่งกินข้าวเที่ยงของเราได้แล้ว ต่างคนก็ต่างงัดเอาสเบียงที่แบกกันมา ทั้งอาหารไทย อาหารจีน มากองรวมกัน ตอนนี้กลายเป็นปาร์ตี้มื้อเที่ยงบนเขาสูงเหนือน้ำทะเลประมาณ 3000 กว่าเมตรแล้วสิ

272.jpg

วิวัฒนการกล่องอาหารจีน ไม่จำเป็นต้องพึ่งไมโครเวฟ ทำตามวิธีบนกล่องสักพักเราก็จะได้กินข้าวร้อนๆ บนเขาละ ส่วนรสชาตนั้นสำหรับเราๆว่ากินได้ แอบอร่อยกว่าร้านตามสั่งบางร้านซะอีก

273274.jpg

“มึงๆๆ น้ำที่มึงเหลือกี่ขวด”

” 1 ขวด ที่มึงอ่ะ”

“หมดแล้ว”

“ชิบหายยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

เราสะกิดถามเพื่อน เพราะไม่แน่ใจว่าวันนี้เราติดน้ำมากี่ขวด ซึ่งเราเข้าใจกันผิดคิดว่ามีคนละ 2 ขวด แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงครึ่งของเส้นทาง น้ำเหลือ 1 ขวด กับคน 2 คน เอาแล้วไง

“มึงงงง น้ำเราจะหมดก่อนถึงป่ะว่ะ”

“เอางี้ ถ้าเราเหนื่อยเปลี่ยนจากจิบน้ำ เป็นพ่นออกซิเจนแล้วกัน ประหยัดน้ำไว้ก่อน”

เราได้ข้อสรุปแก้วิกฤติน้ำหมดของเรา 2 คน

กินข้าวเสร็จ นั่งจนหายเหนื่อยแล้ว จัดการตัวเองเรื่องเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อย เส้นทางนี้ไม่มีห้องน้ำ (ไม่เหมือนเส้นรูทสั้นเมื่อวาน ที่มีห้องน้ำตรงจุดพัก) ห้องน้ำก็ตามธรรมชาติหามุมที่ชอบกันเอาเองเลยจ้า

เดิินทางสู่ “ชัมบาลา”

“มึงๆ อีกไกลป่ะว้ะ”

“ครึ่งทางแล้ว อีกไม่ไกล เดี๋ยวก็ถึง”

เดินมาสักระยะ เพื่อนเราเริ่มมีอาการ เหนื่อย เมื้อย ตะโกนมาถามเราที่เดินอยู่ด้านหน้าถึงระยะทาง เอาจริงๆตอนนั้นเราก็ได้แต่ปลอบใจเพื่อน เหมือนที่ปลอบใจตัวเอง เราจะยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้ เราเดินมาตั้งเยอะแล้ว ตอนนี้เราเริ่มหาเรื่องเม้ามอยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากระยะทาง

284.jpg

เดินไปแป๊บๆ หยุดถ่ายรูป

เดินไปแป๊บๆ นั่งพัก

เดินไปแป๊บๆ สูดออกซิเจนกระป๋อง

จริงๆเราว่าผู้คนที่ Trekking วันนี้ทำวนลูปแบบเดียวกับเราไม่ต่ำว่า 70% แน่นอน เพราะความสูงที่ทำให้ออกซิเจนในเลือดเราน้อยลง ดังนั้นถ้าเรารีบจนเกินไปอาจจะทำให้หายใจไม่ทัน อาจจะช็อกได้  ซึ่งก่อนมาทริปนี้เราได้ตกลงกับเพื่อนว่า ถ้าเหนื่อยให้หยุดทันที อย่าฝืนตัวเอง ถ้าใครสักคนเป็นอะไรขึ้นมา มันไม่สนุกแน่

277.jpg

เดินมาเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มแคบลง และชันเพิ่มขึ้น แถมตอนนี้เริ่มมีน้ำตกไหลผ่านทางบ้างแล้วสิ

“มึงๆ กูว่าถ้าน้ำเราหมด เรากรอกน้ำตกนี่ดีกว่ามั้ย อย่างน้อยไม่อดตาย”   

เราหันไปบอกเพื่อน ซึ่งตอนนี้น้ำพวกเราใกล้หมดเต็มที เพื่อนพยักหน้ารับทราบ

การขึ้นที่สูงมาแบบนี้อาจจะทำให้เราปวดหัวได้ ซึ่งเราว่าน้ำสำคัญมาก เพราะมันจะช่วยลดอาการนี้ให้เราได้มาก แต่เรากับเพื่อนคำนวนจำนวนน้ำที่เอาติดตัวมาผิด ทำให้ตอนนี้ปัญหาหลักของเราคือมีน้ำดื่มไม่พอ

281

ระหว่างทางที่เรานั่งพัก บ้างครั้งก็จะเจอคนไทยเข้ามาทัก ซึ่งไปๆมาๆวันนี้เราได้เจอคนไทยเยอะมากกกก ทุกคนให้กำลังซึ่งกันและกันให้ไปถึงจุดหมายให้ได้ และอีกหนึ่งกำลังใจของการ Trekking วันนี้ คือวิวที่อยู่ตรงหน้า

286.jpg290.jpg342285

เราเดินมาเรื่อยๆ เริ่มเหนื่อย หายใจไม่ทัน และอาการเมื้อยที่มีมาเป็นระยะ  เอาจริงๆตอนนี้เราก็ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าที่ยังต้องเดินต่อ หรือทางที่เราเดินมาแล้วอะไรจะมากกว่ากัน รู้แค่ว่ามันโคตรนานเลย ลมหนาวก็มีพัดมาเป็นระยะ จากที่เดินมาร้อนจนต้องถอดเสื้อบางตัวออก เดินไปอีกหน่อยลมหนาวมาปะทะตัวอีกแล้ว ก็ต้องใส่เสื้อกลับเป็นไปแบบนี้เรื่อยๆ  สลับกับอาการหิวน้ำบ้าง มีอาการมึนเพราะออกซิเจนน้อยบ้าง

ตอนนี้ถ้าจะบอกว่าไม่ท้อ ก็คงจะโกหกคำโตเลยค่ะ

346

จากเดิมที่ตอนแรกเรามองจุดหมายปลายทางระยะยาว จนตอนนี้เราไม่สนใจแล้วว่าทะเลสาบน้ำนมอยู่อีกไกลแค่ไหน ไม่สนใจว่าทะเลสาบห้าสีต้องเดินอีกนานแค่ไหน เราไม่แหงนหน้ามองภูเขาที่อยู่ไกลๆอีกแล้ว แต่ตอนนี้เราจดจ่ออยู่กับขาที่กำลังก้าวเท่านั้น คิดแค่ว่าเราต้องถึงสิว้ะ

340

” มึงงงงงง ก้อนหินก้อนโน้นนะ แล้วพัก”

“เออๆ โอเค”

เพื่อนเราตะโกนมาจากด้านหลัง บอกถึงจุดหมายปลายทางของเรา เพราะตอนนี้เราเหนื่อยมากเกินจะเดินยาวๆกันแล้ว ตอนนี้จุดปลายของพวกเรามันกลายเป็น ก้อนหินก้อนนี้ ก้อนหินก้อนนั้น ก้อนหินก้อนโน้น เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ 

348

“มึงงงงงงงงงงงงง ข้างหน้านั้นจะถึงแล้วววววว”

“ไอที่ภูเขากับธงมนต์เยอะๆนั้นหรอว้ะ”

“น่าจะว้ะ กูว่าคงใช่แหละ ตอนนี้เราก็เดินมาหลาย ชม และตอนนี้น้ำเราก็หมดแล้วว้ะ กูว่ามันต้องถึงแล้วละ”

ตอนนี้เรามีแรงขึ้นมาจากไหนก็ไม่รู้ เมื่อรู้ว่าข้างหน้านั้นคือจุดหมายที่เราพยายามเดินมาทั้งวัน

296.jpg

เรารีบสาวเท้าเดินขึ้นไปหาจุดหมาย และเราเริ่มเห็นภูเขาลูกยักษ์อยู่ด้านหน้าชัดขึ้นเรื่อยๆ

291.jpg292

จากตรงนั้นบอกเลยค่ะ ว่าตื่นเต้นมากกกกกกกกกกก ตื่นเต้นที่จะได้เห็นสิ่งที่กระตุ้นให้เรามาจีน

เดินขึ้นมาด้วยแสงหัวใจเต้น ตุ้บๆ ตลอดเวลา

เราเห็นพี่ออยพี่พยาบาลนั่งรอเราอยู่ก่อนแล้ว

“อ้าวววววววววว เห้ย พี่”

“พี่นี่เรายังไม่ถึงทะเลสาบอีกหรออออออออออออ”

“ยางงงงงงงงงงงงง โน้นตรงภูเขานั้นอ่ะ เราต้องเดินขึ้นไปอีก”

“จริงดิ้ !!! จะบ้าาาาาาาาาาาาาาาาา”

ข้างบนเป็นบทสนทนาระหว่างเรากับพี่ออยที่มาถึงก่อนเรา ตอนนี้รอบๆพี่ออยก็เต็มไปด้วยเหล่าคนไทยที่พกกล้องตัวมหาเทพมาทั้งนั้น เดาไม่ยากกว่าพวกพี่ๆเหล่านั้นคงเป็นช่างภาพแน่นอน

โอ้ยยยยยยยย เรายังไม่ถึงอีกหรอเนี่ย ตรงนี้มันคือจุดพักก่อนที่จะขึ้นไปทะเลสาบห้าสี ตรงนี้เป็นเหมือนลานที่ให้นักเดินทางทุกคนที่เดินขึ้นมาบนนี้ได้พักเหนื่อย  อ้ะๆ ไหนก็มาแล้วถ่ายรูปกับธงมนต์จำนวนมาก พร้อมฉากหนังที่มีภูเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านสักหน่อย

294298.jpg

จุดนี้เป็นเราใช้เป็นจุดตั้งมั่นของเรารอพี่โบตั๋นที่ยังมาไม่ถึง รอทีมมาครบเพื่อจะได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกว่าเราสามารถพาสังหารมาถึงด้านบนนี้ได้แล้วววววววววววววววววววววววววววว (ดาวน้ำตาจะไหล)

พี่โบตั๋นที่ตามมาสมทบหลังสุด ก็คือคนที่ป่วยและเกือบเทพวกเราตั้งแต่เมื่อคืน แล้วตอนนี้พี่โบตั่น ขอบายการเดินขึ้นไปข้างบน เพราะบอกว่าไม่ไหว ตอนนี้ไข้ขึ้นอีกแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงกินยาแล้ว ได้แต่บอกให้พวกเราที่เหลือขึ้นกันไปเลย เดี๋ยวจะรออยู่ตรงนี้เอง

จริงๆจากลานที่ธงมนต์เยอะๆตรงนี้มันเป็นเหมือนสามแยก ซึ่งถ้าเราจะไปทะเลสาบน้ำนม เราต้องเดินไปทางซ้ายมือ เป็นทางที่ไม่ลำบาก ไม่ชัน ไม่ต้องไต่ขึ้นมาก  แต่ถ้าเราจะไปทะเลห้าสีเราต้องเดินตรงไป เพื่อไต่ขึ้นไปทางชันๆที่อยู่ใกล้ตรงธงมนต์

และเราเลือกไปทะเลสาบห้าสีก่อน เพราะเราอยากเห็นทะเลสาบห้าสีมากกว่า ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าถ้าเวลาไม่พอ เราอาจจะไปทะเลสาบน้ำนมไม่ทัน อย่างน้อยเราก็จะได้เห็นทะเลสาบห้าสีละ

พวกเราที่เหลือก็เริ่มเดินขึ้นไปข้างบนที่มีภูเขานั้นเป็นจุดหมายอีกครั้ง แต่ทางขึ้นด้านบนมันชันมากกกกกกกกกกกก มากกว่าที่เดินผ่านมาหลายเท่า เห็นทางแล้ว ได้แค่หายใจลึกๆเท่านั้นเอง”

299.jpg“พี่ชายยยย ชั้นเหนื่อยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

” มึงงงงงง ก้อนหินก้อนนั้นนะ ”

“เออๆ โอเค”

” มึงงงงงง ก้อนหินก้อนโน้นนะ แล้วพักนะโว้ยยยย”

“เออๆ ”

ทฤษฎีก้อนหินก้อนนั้นของเราได้ถูกกลับนำมาใช้อีกครั้ง

300.jpg301.jpg302

“มึงๆ”

“หืม ว่าไง”

“มานี่ๆ กูเจอน้ำเปล่ายังเต็มขวดอยู่เลยมึง ขวดไม่สกปกด้วยว้ะ กูว่าคนที่ทิ้งน่าจะหนักเลยทิ้งไว้ตรงนี้”

“เออๆ เราเอาไปด้วยก่อนดีกว่า ถ้ามันจำเป็นจริงๆก็ดีกว่าหิวน้ำตาย”

ตอนนี้สิ่งที่เรากลัวมากที่สุดคือกลัวว่าเราจะหิวน้ำ จนเป็นลม การอยู่บนที่สูงแบบนี้เราแนะนำให้พกน้ำดื่มมาคนละอย่างน้อย 2 ขวด เพราะมันสำคัญมากจริงๆ

เราเดินไปบ่นกันไป ถ่ายรูปแก้เหนื่อยกันไป จนตอนนี้จุดหมายของเรามันใกล้มากแล้ว  พร้อมกับตะโกนถามพี่คนไทยที่เดินอยู่ด้านหน้าเราว่าใกล้ถึงแล้วใช่มั้ย พี่เขาตอบว่าใช่ๆ แต่ข้างบนทางชันเดินระวังๆนะ

303.jpg304.jpg305.jpg

ในที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เราเดินมาจนใกล้จะถึงด้านบนสุดซึ่งเป็นที่ตั้งของทะเลสาบหน้าสีแล้ว

“อ้าวเห้ยยยยยยยยยยย พี่”

“ทำไมทะเลสาบห้าสีไม่มีน้ำอ่ะ”

“คุณหลอกดาววววววววววววววว”

306.jpg

นั้นเป็นคำอุทานเมื่อเราเดินมาจนถึงจุดที่ควรจะเป็นที่ตั้งและวิวที่เราถวิลหามากที่สุดของทริปนี้ ความฝันเราพังทลายลงต่อหน้าต่อตา และไม่ใช่แค่เราเพราะตอนนั้นมีคนไทยประมาณ 5-6 ที่ร้องด้วยความผิดหวังและอึ้งที่เราโดนหลอกขึ้นมาทะเลสาบ 5 สี แต่มันกลับไม่มีน้ำ มันแห้งขอด

“ทำไมคนที่เดินลงไปไม่บอกเราว่า ไม่ต้องขึ้นมามันไม่มีน้ำ”

เพื่อนเราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทั้งผิดหวังและเหนื่อยเปล่า

“พี่ว่าลุงจีนๆที่เดินสวนเราลงไปคงอยากให้เรามาเจออารมณ์เดียวกันเพราะลุงก็โดนหลอก”

นั้นคือประโยคที่พี่คนไทยที่เจอกันด้านบน

เราได้แต่ปลอบใจเพื่อนและตัวเองว่า อย่างน้อยวิวตรงนี้มันก็โคตรสวยถึงมันจะไม่ใช่แบบที่คิดก็ตามเถอะ และแน่นอนค่ะ เราต่างคนต่างผลัดกันถ่ายรูปเก็บความทรงจำว่าวันนี้ทะเลสาบห้าสีไม่มีจริง

เห้ออออออออออออออออออออออออ (ดาวเหนื่อยฟรีหรอเนี่ยยยย)

307.jpg308.jpg310311.jpg

แม้เราจะผิดหวังกับการไม่ได้เห็นทะเลสาบห้าสี แต่วิวที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ปลอบใจเราได้ดีไม่ต่างกัน ไม่ว่าคุณมาแล้วจะได้เจอทะเลสาบห้าสีหรือไม่ เราก็ยังยืนว่าให้คุณเดินขึ้นมาให้ได้เพราะวิวนี้ก็สุดยอดมากจริงๆ

314.jpg316

“มึง ไป เดินไปทะเลสาบน้ำนมกันต่อ ผิดหวังจากห้าสีก็ให้กูสมหวังสักอย่างเหอะ”

เราบอกเพื่อนหลังจากที่เราถ่ายรูปตรงนั้นจนอิ่มแล้ว ทางจุดที่เราอยู่ให้เดินตรงไปบนสันเขา ทางไม่ยากค่ะ เพราะไม่มีขึ้นเขาละ แต่ระยะก็ไกลอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เหนื่อยมากค่ะ เดินได้สบายๆ ซึ่งตอนนี้พี่ออยบอกให้เราเดินไปก่อน เพราะพี่แกจะเปลี่ยนอุปกรณ์กล้องสักหน่อย

เรากับเพื่อนเดินไปกันไปตามสันเขาเรื่อยๆ มองออกไปไกลๆเราจะเห็นน้ำสีฟ้าๆ ตรงนั้นคือทะเลสาบน้ำนมค่ะ

แต่………………

เมื่อเราเดินมาถึงกลางสันเขา และแล้วววววววววววววว

เราก็เจอทะเลสาบห้าสี !!!! 

ใช่ค่ะ ทะเลสาบห้าสีจริงๆๆ 

“เมื่อกี้คุณไม่ได้หลอกดาว แต่ดาวโง่เองงงงงงงงงง”

โถ้วววววววววว ดราม่าตั้งนานนึกว่าเดินทางมาตั้งไกลแต่มาเจอทะเลสาบห้าสีน้ำแห้ง แต่ความจริงแล้วเรามั่วเอง ไอเมื่อกี้มันไม่ใช่ทะเลสาบห้าสี มันคืออะไรไม่รู้ 

ณ นาทีนั้นเราดีใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก 

เพราะทะเลสาบห้าสี มันสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก !!!! (อนุญาตให้ลากเสียงยาวๆ) 

และดีใจหนักมากอีกอย่างคือตรงทะเลสาบห้าสีแทบจะไม่มีคน อาจจะเพราะหลายคนขึ้นมาทางเดียวกับเราแล้วเจอทะเลสาบน้ำแห้งนั้นแล้วก็หันหลังกลับ  และหลายคนก็ไม่ขึ้นมาทะเลสาบห้าสีเพราะอยู่สูงและไกล 

317319320

ตอนนี้เราเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมถึงมีคนขนาดนามให้

Yading เป็น The Last Shangrila 

มันสวยมากกจริงๆ

323.jpg325

ตอนนี้เรามีความสุขกับการได้ถ่ายรูปทะเลสาบห้าสีมากกกกก มากจนยังไม่อยากเดินไปไหนต่อ แต่ด้วยเวลาที่ล่วงเลยไปเยอะมากแล้ว เราตัดใจจากทะเลสาบห้าสี เพื่อเดินไปยังทะเลสาบน้ำนมต่อ เพราะไม่อย่างนั้นกว่าเราจะลงไปถึงด้านล่างคงค่ำแน่ๆ และถ้าค่ำคงไม่สนุกแน่ค่ะ ทางแคบๆคนเยอะๆ กับลมที่เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ

เราเดินตามสันเขาต่อมาเรื่อยๆ มองเห็นทะเลสาบน้ำนมอยู่ไกลๆ แต่เมื่อเราเริ่มเข้าใกล้ๆทะเลสาบน้ำนมเข้าไปเรื่อยๆ มันทำให้เราสงสัยว่าเราจะไปอยู่ส่วนไหนของทะเลสาบน้ำนม แล้วจะถ่ายรูปออกมาสวยหรอ เพราะตอนนี้รอบๆทะเลสาบน้ำนมเต็มไปด้วยผู้คนที่มองจากบนสันเขาแล้ว คล้ายกับมดตัวเล็กๆ

328.jpg326327

เราว่าการถ่ายรูปทะเลสาบน้ำนม ถ่ายจากมุมสูงสวยกว่าริมทะเลสาบ หรืออาจเป็นวันนี้คนเยอะมาก หรืออาจเป็นเพราะเราเจอทะเลสาบห้าสีที่สวยกว่ามาแล้ว หรืออาจเพราะตอนนี้เราเหนื่อยมาก หรืออะไรก็ถาม เราเลยยอมลดกล้องลงแล้วยืนซึมซับกับทะเลสาบน้ำนมแทนการกดชัตเตอร์ หนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ทำให้เราเกิดทริปนี้ขึ้นมา

329330331332333334

“มึง ลมเย็นชิบหายเลยยยยยยยย”

“เออออ มันโกรกหัวกูจนรู้สึกว่าตอนนี้เริ่มมึน กลับมั้ย นานกว่านี้กูไข้แน่เลยว้ะ”

เราสองคนความเห็นตรงกัน ว่าลมเริ่มเย็นมาก และมันก็ทำให้เราเริ่มมีอาการมึนๆ มัันไม่ใช่เพราะอาการแพ้ความสูงหรอกแต่มันเป็นเพราะลมที่กำลังโกรกโดนหัวเรานี่แหละ มือก็เริ่มแข็ง ถุงมือที่ใส่เริ่มทำงานด้อยประสิทธิภาพลง เราตัดสินใจกลับก่อนที่จะเป็นไข้เพราะลมหนาว

335336337338

ระหว่างทางที่เราเดินลง เราเจอคนไทยหลายคนที่เดินขึ้นมา เราส่งกำลังใจให้กับหลายๆคนที่ยังไม่ถึงยอด ขอให้เดินไปให้ถึงเพราะมันสวยคุ้มค่ากับความเหนื่อยมากจริงๆ

ตอนขาลง เราแทบจะไม่หยุดพัก เพราะการเดินมันง่ายกว่าขาขึ้นมากมายนััก แต่ขาลงเรากับเพื่อนแทบจะไม่คุยกัน ต่างคนต่างใช้เวลาจดจ่ออยู่กับทางและร่างกายของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ต่างหากที่ทำให้เราเริ่มเข้าใจว่า “ชัมบาลา” คืออะไร 

276

เราเดินลงแบบแทบจะไม่พัก ถึงพักก็ไม่นาน สำหรับคนปวดเข่าแบบเรา Trekking Poles จะช่วยให้เราไม่เจ็บเข่าจดเกินไปจากการเดินลงจากที่ชัน อีกอย่างคือถ้าใครเจ็บเข่า ให้ใช้ผ้ารัดเข่าด้วยนะคะ มันจะช่วยได้เยอะ  ตอนแรกเราคิดว่าวันนี้ปัญหาเข่าที่เราเป็นต้องเป็นปัญหาในการเดินไม่มากก็น้อยแน่นอน แต่ด้วยการเตรียมตัวที่ค่อนข้างดีเข่ากลับไม่ส่งผลอะไรกับการเดินวันนี้เลย ดังนั้นเส้นทางนี้ไม่ได้ยากจนเกินไปถ้าเรารู้ปัญหาและศักยภาพของตัวเอง และไม่ฝืนตัวเอง

339347

เราเดินลงมาค่อนข้างเร็วและแล้วในที่สุดเราก็มาถึงทุ่งหญ้าหลงลัวแล้ว ตอนนี้ทุงหญ้าหลงลัวสวยกว่าเมื่อเช้ามากค่ะ แต่จะบอกว่าลมก็แรงสุดเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้เรากับเพื่อนหมดแรงแล้วค่ะ ความเหนื่อยล้ากำลังถามหาเราแล้วละค่ะ

ทุ่งหญ้าหลงลัวเวลาเย็นเต็มไปด้วยจามารี ม้า สัตว์ต่างๆ ออกมากินหญ้าเยอะแยะไปหมดค่ะ แถมไม่กลัวคนด้วยสิค่ะ เรากดถ่ายรูปแล้วรีบเดินต่อไม่ไหวละค่ะ อากาศลงไปที่ 2 องศา ตอนนี้อยากกลับห้องเต็มทีละ

349350351352353354355356357

“หนาว รีบเดินแล้วขึ้นรถกลับกันเถอะมึง”

“เออ หนาว ลมก็แรงกูจะไข้แล้วเนี่ย”

เราเห็นด้วยกับความหนาวที่ทั้งเราและเพื่อนกำลังเผชิญอยู่ ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องไปต่อแถวขึ้นกอล์ฟกลับแล้ว

ตอนนี้ 18.00 น นี่เราใช้เวลาทั้งหมดในการเดินวันนี้ไป 10 ชม เราใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 7 ชม และลงประมาณ 2 ชม อีก 1 ชม คือเวลาที่เราถ่ายรูปอยู่บนทะเลสาบทั้งหมด 

เรานั่งรถกอล์ฟเพื่อกลับไปยังตีนเขาจุดเดียวกับที่ขึ้นรถกอล์ฟมาเมื่อเช้า

“อ้าวว พวกพี่ลงมานานแล้วหรอค่ะ นี่เราคุยกันว่าไม่รู้พวกพี่อยู่หลังเราหรือถึงโรงแรมแล้ว”

“พวกพี่ลงมาพักใหญ่แล้วล้ะ ก็ว่าจะรอพวกเราเนี่ยแหละจะได้กลับโรงแรมพร้อมกัน”

“ว่าแต่ทำไม พวกพี่ลงมาเร็วจังค่ะ ไม่ได้ไปทะเลสาบน้ำนมหรอ”

“เอ้อออออออออ พี่ไปจำมาจากไหนไม่รู้ คิดว่ารถกอล์ฟหมด 5 โมง นี่ก็เลยรีบลงมา เซ็งตัวเองซะมัด”

“อ้ออออ แล้วพี่ได้เดินมาต่อมั้ยจากทะเลสาบที่ไม่มีน้ำอ่ะ”

“ไม่อ่ะ พี่เซ็ง แล้วโบตั๋นก็ขึ้นตามมาด้วยนะ แต่เห็นว่าตอนนั้นสายแล้ว พี่เลยกลับดีกว่า”

“จริงดิ้ พี่รู้มั้ยพวกเราเจออะไร ก่อนลงไปทะเลสาบน้ำนม”

“เจอไรอ่ะ” พี่พยาบาลทั้งคู่ทำหน้าสงสัย คงคิดในใจว่า มึงจะบอกอะไรก็รีบบอกมาเหอะ

“เราเจอทะเลสาบห้าสี !!!”

“เห้ย เป็นไปได้ไง แล้วไอที่ขึ้นไปตอนแรกน้ำแห้งๆ นั้นไม่ใช่หรอ”

“ม่ายยยยช่ายยยยยยยยยย นี่ๆหนูมีรูป” เราภูมิใจกับความดั้นด้นของตัวเองพร้อมกับเปิดรูปในกล้องส่งให้พี่พยาบาลดู

“โอ้ยยยยยยยย พี่เสียดายอ้ะ”

เราได้แต่ปลอบพี่พยาบาลไปว่า มีหลายคนคิดแบบนั้นแล้วหันหลังกลับเหมือนกัน มีไม่กี่คนเองที่เดินไปถึงทะเลสาบห้าสี ไม่เป็นไรเนอะ คราวหน้าถ้ามีโอกาสมาอีก หรือมีโอกาสไปที่ไหน อย่ายอมแพ้ให้กับความผิดหวังค่ะ บางครั้งพระเจ้าอาจจะส่งความผิดหวังมาทดสอบเราก่อนที่จะให้เราพบกับความสมหวังก็ได้

(ดาวว มึงไม่ต้องดราม่ามากกก มึงมีรูปไง พี่เขาไม่มีไง)

324

19.00 น ตอนนี้เรากลับมาถึงห้องกันแล้วค่ะ

สภาพทุกคนตอนนี้เหนื่อยมากกกกกกกกก

หมดสภาพมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ตอนนี้พวกเราต่างคนต่างรีบไปอาบน้ำ และมื้อค่ำที่ดีที่สุดในคืนนี้คือมาม่า ต้มยำกุ้ง ร้อนๆเท่านั้น กินเสร็จต้องกินยาทุกขนาดเลยค่ะ เพราะเรา 4 คน ตอนนี้ดูท่าว่าจะไข้ตามๆกันแน่นอน  คืนนี้เราทุกคนรีบจัดการตัวเองให้เร็วที่สุดและจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้

ก่อนนอนสามสาวคนไทยที่เราเจอกันในวันที่เดินทางมาเต้าเฉิน และหารรถมาย่าติงด้วยกัน ส่งข้อความมาบอกว่า “เจอกัน 7 โมง 50 หน้าโรงแรมโซน 3 เพราะรถออกจากอุทยานมีคันแรกตอน 8 โมง”

ก่อนนอนคืนนี้พวกเราทั้ง 4 คน ยังไม่หยุดคุยถึงความสำเร็จในวันนี้ ซึ่งถือว่าภารกิจสำหรับทริปนี้ของเราสำเร็จแล้ว

Day 6

6.00 น เราตื่นเพราะความหนาวและเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังพร้อมกัน 4 เครื่อง

เมื่อคืนเราหลับค่อนข้างสนิท คงเพราะอาการเหนื่อยและน่าจะมายาขนาดต่างๆที่เราซัดกันป่วยในเช้าวันนี้ และแน่นอนค่ะ ยาที่กินเข้าไปเมื่อคืนได้ผล เช้าวันนี้เราไม่มีอาการใดๆ ถึก ทน เหมือนเดิม ส่วนเพื่อนเรานั้นนางยังมีอาการป่วยอยู่นิดหน่อยค่ะ

เช้าวันนี้เรานัดกันที่หน้าโรงแรมโซน3 รอขึ้นรถบัสออกจากอุทยาน วันนี้พวกเราสาวไทยทั้ง 7 คน นัดกันเพื่อหารถกลับแชงกรีล่าด้วยกัน เพราะเรามีจำนวนคนเยอะ อำนาจการต่อรองของเราก็เยอะเพิ่มขึ้นด้วย

7.45 น เราทั้ง 7 คนมารวมกันอยู่ริมถนนหน้าโรงแรมโซน 3 เพื่อจะขึ้นรถกลับออกจากอุทยานกันค่ะ และมีนักท่องเที่ยวเกาหลีคู่รัก2คนรออยู่ก่อนเราแล้ว

รถบัสผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ไม่มีคันไหนรับเลยค่ะ

8.10 น  ถึงจะมีรถบัสที่ยอมจอดรับนักท่องเที่ยว เราขึ้นรถบัสสีขาวคันแรกที่จะนำนักท่องเที่ยวที่ต้องการกลับออกจากอุทยาน ค่อยๆเคลื่อนไปตามถนนที่คดเคี้ยวตัดผ่านภูเขาใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงจุดส่งและรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการออกจากข้างนอกและเข้าไปในอุทยาน

เราทุกคนเดินจากจุดที่รถบัสมาส่ง เพื่อลงมายังออฟฟิศขายตั๋วอุทยาน เมื่อมาถึงเราต่างคนต่างแวะซื้อขนมในร้านขายของเพื่อเป็นเสบียงระหว่างทาง

เราทุกคนเดินออกมายังหน้าอุทยาน มีเหล่าหมาป่าชาวจีนที่กำลังหาลูกค้ามาดักรอเราอยู่ ตอนนี้กำลังเป็นลูกแกะที่กำลังเดินไปเป็นเหยื่อของหมาป่า  เราส่งตัวแทนลูกแกะที่สามารถคุยภาษาจีนกับหมาป่าได้  เราต้องการเจรจาเพื่อหารถจากย่าติงกลับไปยังแชงกรีล่า และรถคันนั้นต้องมีเบาะนั่งให้เราทั้ง 7 คนด้วย

ตัวแทนลูกแกะที่สามารถคุยภาษาจีนได้ เจรจากับหมาป่าอยู่นานกว่าจะได้ข้อตกลงว่า หมาป่าคิดราคาเราแบบเหมา1500หยวน หาร7คน เท่ากับเราจะต้องจ่ายค่ารถจากย่าติงกลับแชงกรีล่า คนละ 215 หยวน เราทั้งหมดโอเคกับราคาที่หมาป่าเสนอมา แล้วเหล่าลูกแกะ 7 ตัวสัญชาติไทย ก็เดินเรียงแถวกันขึ้นรถมินิแวนที่มีคนขับเป็นหมาป่า

เราขึ้นรถมาแต่ๆรถคันนี้มีเก้าอี้ผู้โดยสารแค่ 6 ที่นั่ง ไหนเราตกลงกันว่าจะต้องมี 7 ที่ไหนไง เส้นทางนี้มันยาว พวกเราทุกคนจำเป็นต้องมีเก้าอี้เป็นของตัวเอง เมื่อถามคนขับรถก็ได้ความว่าเขาจะพาเราออกจากย่าติงแล้วไปเปลี่ยนรถอีกคันที่ใหญ่กว่าที่เก้าอี้ผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง รถคันนั้นจะรอเราที่ระหว่างทาง

ออกเดินทางอีกครั้ง

หลังจากที่พวกเรารับทราบเงื่อนไขอันนี้แล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง

เฮียคนขับค่อยๆเคลื่อนรถออกไป ผ่านถนนที่มีวิวข้างทาง โค-ตะ-ระ สวยเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  เฮียแกเป็นคนขับที่ใจเย็นมากๆด้วยสิ แกขับรถไม่น่าจะเกิน 60 ด้วยซ้ำ ขับไปฮัมเพลงสลับกับฮัมบทสวดภาษาทิเบตไปอย่างอารมณ์ดี

358.jpg

ตอนนี้ทุกคนในรถรวมถึงเราต่างคนต่างใช้เวลาอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง อาจเพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่ ต่อมมนุษย์สัมพันธ์ของพวกเรายังทำงานได้ไม่ดีมากนัก

ตัวเราเองหลังจากเอาหูฟังยัดใส่หูแล้วเปิดเพลงจากมือถือของตัวเองแล้ว มันน่าแปลกที่ตอนนี้เราว่าเพลงที่อยู่ในมือถือเรามันโคตรเพราะเลย ความไพเราะมันเพิ่มขึ้นมาเกือบ 50% เห็นจะได้ คงเป็นเพราะการได้ฟังเพลงพร้อมกับการได้ดูวิวนอกหน้าต่างที่รถคนค่อยๆเคลื่อนไปสลับกับการดูรูปวันที่ผ่านๆมา มันทำให้เราถามตัวเองว่าการที่เราพาตัวเองข้ามน้ำข้ามทะเลมาในดินแดนแห่งนี้ ตอนนี้เราเจอสิ่งที่ตามหาแล้วหรือยัง

359360361362363364.jpg365

โชคไม่เข้าข้าง

เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชม รถมินิแวนที่เต็มไปด้วยลูกแกะสัญชาติไทย ยังคงค่อยๆเคลื่อนอย่างเนิบนาบไปเรื่อยๆ แล้วเฮียคนขับก็หันมาบอกเราว่า ข้างหน้าจะมีรถมาเปลี่ยนแล้วนะ คนขับคนใหม่จะเป็นคนพาพวกเราไปแชงกรีล่า หลังจากพูดเสร็จคนขับก็แวะจอดข้างทาง เพื่อรอรถมาเปลี่ยน

รอแล้วววววววววววว

รอเล่าาาาาาาาาาาาาาาาา

รถคันใหม่ก็ยังไม่มาสักที ตอนนี้เรารอมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ  เฮียคนขับน่าจะรู้ว่าพวกเรากำลังหงุดหงิด เลยโทรตามคนขับอีกคน ได้ข้อสรุปว่า รถคันที่จะต้องมารับเราติดอยู่ระหว่างทาง เพราะตอนนี้มีทางทำถนน  คันขับเลยบอกว่างั้นเพื่อไม่ให้พวกเราหงุดหงิด เขาจะไปส่งให้ตรงที่รถคันที่ติดอยู่แทน

อีกประมาณ 30 นาที เราก็มาถึงถนนที่ตอนนี้ยังคงปิดอยู่ แต่คนขับรถบอกเราว่าถึงแล้วลงจากรถได้เลย

หืมมมมมมมมม จริงดิ้ ตรงนี้หรอออออออ

เราทยอยลงจากรถอย่าง งงๆ สมกับการเป็นเหยื่อของหมาป่าจริงๆเล้ยยยยย  !!

366367

เราลงมาปุ้บ หมาป่าชาวจีนที่จะเป็นคนขับรถเราในระยะทางที่เหลือมายืนรอเราอยู่แล้วค่ะ  แล้วก็บอกให้พวกเรารอกันตรงนี้เขาจะไปขับรถมา เพราะรถจอดไกลมาก

368369.jpg

เรารอเฮียแกไปเอารถนานมากกกกกกกกกกกกก นานแบบในใจเริ่มหวิวๆแล้วค่ะ ว่าเราจะถูกลอยแพป่ะว้ะเนี่ยยย แต่เขาคงไม่ลอยแพเราหรอกเพราะเรายังไม่จ่ายตังค์ รอไปเกือบ 20 นาที แล้วรถมินิแวนคันสีขาวก็มาจอดตรงหน้าเรา  ปัญหาคือ มันคันเท่าเดิม !!!! เท่าเดิมเลย จะเปลี่ยนเพื่ออะไร เปิดประตูเข้าไปก็เจอว่าคันนี้เอาเก้าอี้โดยสารมายัดอีกหนึ่งตัว เท่ากับมินิแวนคันนี้มีทั้งหมด 8 ที่นั่งรวมคนขับ ซึ่งมันแขบมากกกก เพราะพวกเรา 7 คน และกระเป๋าแต่ละคนใบใหญ่กันทั้งนั้น

370.jpg

ตอนนี้พวกเราทุกคนขึ้นมาอยู่บนรถแล้ว บอกคำเดียวว่ามันแคบบบบบบบบบบบบบบ มากกกกกกกกกกก

คือวันนี้เหตุที่พวกเราจะหารถเหมากลับแชงกรีล่านั้น เพราะเราคิดว่าเราไม่อยากนั่งรถบัสกลับ เพราะนั่งรถบัสมันเหนื่อยมากกกกกกกกก ถ้าเหมารถกลับกันเองเราจะได้แวะลงไปถ่ายรูปได้บ้าง แต่เราลืมคิดไปว่า รถที่นี่มันคันเล็กเป็นส่วนใหญ่ จำนวน 7 คนมันอาจจะมากเกิน จนทำให้เวลานี้พวกเรากำลังนั่งทำตัวเล็กๆลีบ เพื่อให้คนและกระเป๋าไปพร้อมกันได้ในรถคันเดียว

คุณขาาาาาาา มันช่างต่างกันระหว่างฟ้ากับก้นเหวววว ระหว่างคนขับ2คนในวันนี้ เพราะอีตาเฮียคนนี้ไม่มีความสุนทรีย์ ไม่มีความชิลใดๆเลย เฮียแกขับรถอย่างกับฟาส9 !! รอบนี้เราได้นั่งด้านหลังด้วยสิเห้ย มันกระเด้งกระดอน บนทางขุระ ตลอดเวลา เฮียแกแซงทุกคน บีบแตรไปตลอดทาง

“เราต้องเอาชีวิตรอดให้ได้สิมึง !”

“ไอบ้าเอ้ยยย มึงจะเอาชีวิตรอดได้ยังไง ในเมื่อชีวิตมึงอยู่ในมือเฮียคนขับ !!!!”

คือ !!! โชคไม่เข้าข้างเราเลย  อยากนั้งแบบสบายไง เลยยอมจ่ายแพงกว่า แต่ฟ้าดันส่งเฮียคนนี้มาให้เรา ! ไม่จบแค่นั้นเฮียคนนี้ขับรถแบบไม่จนใจใครทั้งนั้น เฮียบีบแตรไล่ทุกคัน ให้พ้นทาง แล้วเฮียก็สูบบุหรี่ในรถด้วยสิ แถมใจดีหันมาถามพวกเราด้วยว่าเอามั้ย อีก เฮียยยยย!! ไม่ต้องใจดีขนาดนั้นนน ขับรถดีๆก็พอ

371.jpg372.jpg

เคลื่อนออกไปแค่ไม่ถึง 15 นาที ทั้งรถก็บ่นว่าหิว เฮียคนขับหันมาทำหน้า งงๆ แล้วพูดว่า ทำไมไม่กินก่อนจะมา เพราะแถวนั้นร้านอาหารดีกว่า แต่ตอนนี้มันไม่ทันแล้วไง เฮียเลยบอกว่า โอเค จะพาไปร้านข้าวนะ แต่ไม่ได้อร่อยมากนะ  เราพยักหน้างึกๆ เป็นอันเข้าใจกัน

เรามาถึงร้านอาหารตามสั่งที่เป็นร้านคูหาเดียว ในร้านมีโต้ะและเก้าอี้สำหรับแขกอยู่ประมาณ 4 ชุด พวกเรา7คนแบ่งนั่งกันเป็น2ชุด แน่นอนค่ะพวกเรา 4 คนนั่งโต้ะเดียวกัน มื้อแรกนี้เราทุกคนมีอาการไม่ได้อยากกินแต่มันต้องกินเพราะหิว เราสั่งไข่เจียว 1 ผัดผัก 1 ข้าวเปล่าคนละ 1 ถ้วย รอไม่นานอาหารก็มาเสริฟค่ะ

แต่สิ่งที่เราได้มาคือออออ ไข่ทอดที่นอนแช่อยู่ในน้ำมัน 1 จาน และผักแช่น้ำมันอีก 1 จาน โอ้วววววววววววว

ไม่ต้องถามรสชาตนะคะ เรายัดๆเข้าไป เพื่อไม่ให้ท้องร้องและไม่ปวดหัวไมเกรนเพราะกินของมันเกินพิกัด  อย่างน้อยก็ปลอบใจตัวเองเบาๆว่า แม่ครัวคงรู้ว่าเราไม่ควรกินเยอะ ไม่งั้นคงอ้วกกับการนั่งรถแน่

374.jpg375

เส้นทางในทริปนี้ส่วนใหญ่ เป็นถนนที่ตัดเขาและกำลังทำทางอยู่ ซึ่งก็คงไม่เสร็จง่ายๆแน่นอน นึกภาพตามนะคะ ทางเล็กๆที่พอแค่รถสวนกัน เป็นถนนขุระ ลูกรัง เต็มไปด้วยหลุมใหญ่่ๆ เฮียแกก็ลงทุกหลุมไม่มีเบรกไม่มีชะลอ นึกสภาพ3คนด้านหลังที่มีต้องนั่งเบียดกัน แถมมีกระเป๋าวางที่เท้าอีกด้วย แล้วต้องกระเด้งกระดอนบนถนนเส้นนี้ตลอดเวลา ถ้าใครจะภาวนาให้เราถึงปลายทางเร็วๆ เราบอกแล้วค่ะว่า โชคไม่เข้าข้างเราเลย เพราะเราต้องหยุดรอทำถนนเป็นระยะ เฮียยังเปิดเพลงจีนเสียงดัง คงจะให้เราได้สนุกกับการขับรถของเฮียแก สภาพเราตอนนี้เหมือนกันนั่งรถบั้มงานวัดนั้นแหละคะ เด้งซ้ายเด้งขวา

ไม่ต้องเดาว่าสภาพเราตอนนี้เป็นไง เพราะตอนนี้มือซ้ายถือยาดมสมุนไพรหงส์คู่ มือขวาจับเบาะด้านหน้า เพื่อประคองตัวเองไม่ให้กระเด้งกระดอนมากเกินไป

โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย หวังว่าจะไม่คอหักก่อนถึง

373

“พี่ออย อีกนานมั้ย”

เราถามพี่พยาบาลที่นั่งข้างๆ ว่าระยะทางที่ดูจากใน app แล้วยังเหลือระยะทางอีกเยอะมั้ย และได้ความว่าอีกเยอะเลยล่ะ น่าจะอีกประมาณ4-5 ชม เห็นจะได้

376.jpg

ตอนนี้สิ่งเดียวที่ช่วยให้เราไม่อ้วกแตกตายก็คือวิวข้างทาง ไม่มีหูฟังที่เปิดเพลงเพราะๆแล้วยัดใส่หู ไม่มีการนั่งดูรูปของวันก่อนๆ ตอนนี้มีแต่สายตาที่หันไปมองวิวนอกหน้าต่าง ถึงแม้ตอนนี้เราจะนั่งอยู่เบาะหลังตรงกลาง ไม่สามารถดูวิวได้เต็มๆก็ตาม ภาพวิวภูเขาที่สลับซับซ้อน ภาพสีเขียวของธรรมชาติที่อยู่นอกหน้าต่างรถ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราอดทน และบอกตัวเองอีกไม่นาน เดี๋ยวก็ถึงปลายทางนะ

377378379

เฮียคนขับบอก ว่าถนนเส้นที่กำลังพาเราไปสู่แชงกรีล่า มันเป็นทางลัด ข้อดีมันถึงเร็ว แต่ข้อเสียนั้นบรรยายวันนี้คงไม่หมด แต่ที่แน่ๆตอนนี้สมาชิกในรถนั้นเริ่มปวดฉี่กันแล้วละสิ เมื่อบอกเฮียคนขับว่าอยากเข้าห้องน้ำนะ เฮียพนักหน้ารับทราบแล้วก็ขับรถต่อไป สมาชิกบนรถก็นั่งรอว่าเมื่อไหร่ จะถึงห้องน้ำสักที ผ่านมาก็หลายโค้ง เด้งมาก็หลายทีละ ผ่านหมู่บ้านในหุบเขา ผ่านวิวเขาที่สวยมากๆ เริ่มเข้าสู่ข้างหน้าที่มีป่ารก แล้วเฮียก็จอดรถค่ะ ใช่เลยคะ เฮียบอกว่าเชิญเข้าก้องน้ำตามสบายเลยนะ

ใช่ค่ะ เฮียกำลังบอกเราว่าชอบพุ่มไม้ไหนก็ตามสบายเลยนะ

380381382383384

ช่วงระยะทางสุดท้ายก่อนจะถึงแชงกรีล่าเป็นถนนลาดยางเรียบซะที ตอนนี้วิวข้างทางเป็นใบไม้เปลี่ยนสีช่วยปลอบขวัญจากการเดินทางตอนต้นมาได้บ้าง หรือนี้อาจจะเป็นการเอ่ยอำลาจากดินแดนธรรมชาติที่สวยงาม ส่งเรากลับสู่โลกความเป็นจริงก็เป็นได้

385

18.30 น เรามาถึงแชงกรีล่า

เราใช้เวลาเดินทางจากย่าติงจนถึงแชงกรีล่า 10 ชม เป็น 10 ชม ที่บอกเลยว่า โคตรทรมานนนนน  ตอนนี้สามสาวที่มาด้วยกันบอกให้เฮียคนขับส่งที่สถานีขนส่งของเมือง ส่วนพวกเราอีก4คนจะไปลงที่ทางเข้าเมืองเก่ากันค่ะ

แต่อีตาเฮียคนขับจะไม่ไปส่งเรา เพราะบอกว่ารู้แค่ว่าต้องมาส่งที่แชงกรีล่าเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าต้องไปส่งที่เมืองเก่านิ จะให้เราเรียกแท็กซี่ไปเอง เถียงกันไปเถียงกันมา เราบอกว่างั้นได้ เราจะไปเอง แต่ต้องจ่ายเงินให้นะ 20 หยวน อีตาคนขับไม่ยอม เราก็ไม่ยอมค่ะ จนสุดท้ายถึงฌอ๊ยคนขับก็ยอมไปส่งเรา

หึ ! จีนก็จีนเถอะ เจอสาวไทยไม่ยอมใครบ้าง จะได้รู้กันไป

กลับบ้าน

19.00 ตอนนี้เราและพี่พยาบาล มา Check-in โรงแรม Shangajoy Seasons Inn สามารถตามไปจองได้ที่ Agoda

 

เราได้ห้องเดิมกับตอนที่มาแชงกรีล่าครั้งแรก วันนี้เป็นวันที่อากาศดีกว่าวันก่อนด้วยสิ เราขึ้นมาเก็บของและขอกินมาม่ากันในห้องค่ะ เพราะคืนนี้พี่ๆพยาบาลก็ขอบาย เพราะเหนื่อยจากการนั่งรถมามากละ เรากลับเพื่อนรีบกินมาม่า แล้วจะออกไปดูการเต้นรำที่เป็นกิจกรรมน่ารักๆของเมืองนี้กันค่ะ

“มึง เขาเต้นกันน่ารักเนอะ”

“นั้นดิ”

จากโรงแรมเดินมาประมาณ 2 นาที ก็ถึงลานกิจกรรมที่ชาวแชงกรีล่าเต้นรำกันค่ะ คนในหมู่บ้านนี้จะออกมาเต้นแบบนี้ทุกคืน(ถ้าฝนไม่ตก) เราว่ามันคงคล้ายๆ เต้นแอโรบิกบ้านเรา

เรายืนมองอยู่นานเลยค่ะ เพราะเพลินมากจริงๆ

391390.jpg388389392393386387

เราเดินถ่ายรูปบรรยากาศในเมืองเล่นอีกหน่อยก่อนกลับโรงแรม

“มึง กูรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับบ้านเลยว้ะ ตอนที่เรามาถึงเมืองนี้”

“เอออ กูก็รู้สึกแบบนั้น รู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก”

“นั้นดิ คนในเมืองนี้น่ารักนะ กูรู้สึกสบายใจกว่าอยู่ย่าติงเยอะเลย”

“เป็นเหมือนกันว้ะ”

หลังเราพูดกับเพื่อนเสร็จเราก็เดินชมเมืองนี้กันแบบเงียบๆ ให้ต่างคนได้ต่างซึมซับความน่ารักของเมืองนี้ ความรู้สึกที่เราบอกออกไป เราไม่เวอร์เลยค่ะ เพราะเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ อาจจะเพราะว่าผู้คนในเมืองนี้มักจะยิ้มให้เราแบบจริงใจ หรืออาจเพราะเมืองนี้ไม่มีคนจ้องขูดเลือดขูดเนื้อนักท่องเที่ยวอย่างเราก็ไม่รู้

394395396397398399400403.jpg401402404.jpg

เรากลับมาที่ห้องหลังจากเดินชมเมืองแห่งนี้จนหน่ำใจ แถมก่อนจะกลับมาแวะไปทานจามารีโยเกิร์ตกันมาด้วยสิ อร่อยดีนะคะ

“กูสัญญากับตัวเอง ว่ากูจะกลับมาเมืองนี้อีกครั้ง”

นั้นเป็นประโยคแทนคำว่าฝันดีที่เราบอกกับเพื่อนออกไปก่อนที่จะหลับ

405

Day 7

8.00 เช้านี้เป็นเช้าที่เราตื่นสายที่สุดในทริป

วันนี้เราจะต้องนั่งรถ (อีกแล้ว) ไปลี่เจียง(Lijiang) เมืองมรดกโลกที่ใครๆก็บอกว่าเราจะต้องตกหลุกรัก

“พี่ๆ เราเก็บกระเป๋าแล้วเช็คเอ้าเลยดีมั้ย”

เราเดินไปเคาะประตูห้องที่อยู่ติดกันถามพี่ๆพยาบาลถึงแพลนเช้าวันนี้ ได้ความว่าเราจะเก็บกระเป๋าแล้ว Check-out เลย แต่จะฝากกระเป๋าไว้ก่อนเพราะจะไปเดินเล่นในเมืองเก่าแชงกรีล่ากันก่อน

เช้านี้เป็นเช้าที่ชิลที่สุดของเราเมื่อเทียบกับวันที่ผ่านมาในทริป เพราะวันนี้เราไม่ต้องรีบไปไหนแต่เช้า รถบัสจากแชงกรีล่าไปลี่เจียงมีหลายรอบเกือบตลอดทั้งวัน เราเลยมีเวลาเดินเล่นในเมืองนี้อีกหน่อย

407406408409

เช้านี้เราจะขึ้นไปวัดต้าฝอ เพราะตั้งแต่มายังไม่ได้ขึ้นไปข้างบนเลยค่ะ

หน้าวัดต้าฟอในช่วงเช้าจะมีชุดให้นักท่องเที่ยวเช่าในราคา 20 หยวน (ดาวจะบอกว่าาาาา เพื่อนดาวนางเช่าในราคาแค่ 15 หยวน หรือ 75 บาท คุ้มนะบอกเลย 55555)

416417415414418

เราตั้งใจขึ้นมาบนวัดต้าฝอ เพราะอยากมาถ่ายรูปกงล้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เรากลับเจอสิ่งที่สวยกว่าคือ วิวทะเลหลังคา  ตอนเราหาข้อมูลมาเที่ยวเรารู้แค่ว่าวิวทะเลหลังคาที่สวยอยู่ที่ลี่เจียงแค่นั้น ไม่คิดว่าวัดต้าฝอจะมีวิวทะเลหลังคาที่สวยไม่แพ้กัน

424425420419422421

การได้มองวิวทะเลหลังคาของเมืองนี้ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะยิ่งตอกย้ำให้เราหลงรักเมืองนี้เข้าไปอีก ถ้าใครมีโอกาสได้มาคุนหมิง เราอยากแนะนำให้คุณเดินทางมาเมือแชงกรีล่า แล้วคุณจะได้เจอเมืองน่ารัก จนคิดว่าตกลงอยู่จีนหรือญี่ปุ่นกันแน่นะ

427428

“หิวจัง” ท้องเราคิดเสียงดังจนคนอื่นรู้โดยทั่วกัน

“งั้นไปกินไส้กรอกแพะกัน”

เราเดินลงมาจากวัดต้าฝอ เพื่อมายังลานใกล้ทางเข้าเมืองเก่า จะมีซุ้มขายอาหารอยู่หลายซุ้มเลยค่ะ เราสั่งไส้กรอกแพะและเนื้อจามารีย่างกันคนละหนึ่งไม้  แม่ค้าที่นี่น่ารักนะคะ แม่มีพูดภาษาไทยได้ด้วยสิ

429430431432433

“เห้ยยย อร่อยอ่ะ ใครเอาอีกบ้างจะสั่งเพิ่ม”

รสชาติอร่อยมากกกกกกกกกกกกกกก ไม่มีคาวเลยค่ะ ใครมาต้องมากินให้ได้นะ ส่วนเราสั่งไปอีกคนละหลายไม้ เที่ยงนี้ไม่ต้องไปหาร้านอาหารละ เพราะเท่าที่กินไปก็อิ่มจะแย่

434.jpg

กินอิ่มแล้วเราไปเดินเล่นดูของฝากกันอีกนิดก่อนกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม  ส่วนตัวเราชอบพ่อค้าแม่ค้าในเมืองนี้นะคะ ทุกคนน่ารัก เราเข้าไปดู เข้าไปเลือกนานก็ไม่ว่ากัน หรือแม้แต่เราจะต่อราคาแรงๆไปบ้างก็หัวเราะกลับมา  เราว่าเมืองนี้เป็น Shangrila สมชื่อจริงๆนะ

410411412

เรามาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม ก่อนกลับก็เลยขอถ่ายรูปภาพรวมของโรงแรมไว้หน่อย ใครจะเดินทางมาแชงกรีล่า เราของแนะนำโรงแรม Shangajoy Seasons Inn เจ้าของโรงแรมดูแลเราพวกเราดีมากกกกกกก เพราะตอนที่เรามาวันแรกเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องเราไม่ร้อน ก็ขึ้นมาซ่อมให้จนใช้ได้ ถามอะไรก็แนะนำได้ดีมากๆๆค่ะ  แถมมีหนุ่มหน้าตาดี ที่ภาษาอังกฤษดีมากก ไม่ต้องกลัวว่าจะสื่อสารกันไม่ได้เลยค่ะ

435436437438439441440

จากโรงแรมเราออกมาถนนใหญ่เพื่อเรียกแท็กซี่ไปสถานีขนส่งกันค่ะ  มาส่งที่สถานีขนส่งจากนั้นก็เดินไปบอกคนขายตั๋วว่า “ลี่เจียง” แล้วยกนิ้วบอกจำนวนว่า 4 คน   แล้วก็เป็นโชคดีของเราเพราะรถใกล้จะออกพอดี แถมยังมีที่นั่งเหลือ  ซื้อตั๋วเสร็จก็มีคนพาเดินตรงมาที่รถ เอากระเป๋าเก็บในช่องแล้วใต้รถแล้วก็ขึ้นมานั่งบนรถ ไม่ถึง10นาทีรถก็ออกค่ะ

รถจากแชงกรีล่า ไปลี่เจียง มีวันละ 6 รอบ คนละ 58 หยวน 

443442.jpg444

อาจจะเป็นเพราะวิวข้างทางไปลี่เจียงไม่ได้สวยแบบตอนที่นั่งรถไปเต้าเฉิน ก็เลยไม่สามารถที่จะง้างตาเราไว้ได้ เราหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พี่ออยสะกิดให้ตื่นดูวิวภูเขาเหมยหลี่  จนทำให้เราสัญญากับตัวเองว่าครั้งหน้าเราจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาเหมยหลี่ให้ได้

เส้นนี้รถจะแวะให้เข้าห้องน้ำ 1 ครั้งนะคะ ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 4 ชม

ภูเขาเหมยหลี่  หรือ ภูเขาหิมะเหมยหลี่ หรือชื่อในภาษาทิเบตว่า “คาวากาโป” (คาวาเก๋อโป) ซึ่งหมายถึง “ภูเขาหิมะขาว”

“เหมยหลี่” หรือ “คาวากาโป” เป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาหิมาลัยที่ทอดตัวลงมาจากหลังคาโลก หรือประเทศทิเบต เป็นแนวเทือกเขาที่ทอดตัวจากทิศเหนือลงมายังทิศใต้  “เหมยหลี่” เป็นยอดเขาสูงสุดอันดับหนึ่งของมณฑลหยุนหนาน (ยูนนาน) มีความสูงถึง 6,740 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล