“เมื่อมนุษย์ไฮเปอร์ ขอตามกระแสไป slow life ที่ปีนัง”
เราเป็นมนุษย์ไฮเปอร์คนหนึ่ง ที่อยู่กับที่นานๆไม่ได้ ทำอะไรช้าๆไม่โลดโผนก็ไม่ได้อีก แต่ครั้งนี้เราขอเกาะกระแสเมืองฮิปเตอร์พาร่างกายไป slow life ที่ปีนัง
ปีนังเมืองเล็กๆของประเทศมาเลเซีย แถมยังเป็นเมืองในกระแสเที่ยวแบบ slow life และดึงดูดชาวฮิปเตอร์ จากโลกทั่ว การเดินทางครั้งนี้เราเลือกไปตรงกับช่วงสงกรานต์ของไทยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาระยะเวลาของทริปนี้เราอยู่ปีนัง 4วัน3คืน โดยเรามีผู้ร่วมทริปอีกหนึ่งคนที่แฟนเราเอง เราเดินทางด้วยรถตู้ โดยเริ่มเดินทางจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา (ซึ่งบ้านเกิดของเราทั้งคู่อยู่ไม่ไกลกับหาดใหญ่และเราทั้งคู่ก็จบจากม.สงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ ดังนั้นหาดใหญ่ก็ถือว่าเป็นถิ่นเรา) ใช้เวลาเดินทางจาก หาดใหญ่-ปีนัง ประมาณ 4 ชม
ด้วยทริปนี้เป็นทริปที่คิดว่าจะ slow life ทำให้เราแทบจะไม่ว่าแผนอะไรเลย จองไว้แค่โรงแรมเพราะไม่อยากไปเดินหาเอาดาบหน้า และรู้แค่ว่าไปปีนังต้องไปเดินตามหาถ่ายรูปวาดบนกำแพงแค่นั้นเอง
การเดินทางด้วยรถตู้จากหาดใหญ่จะมาข้ามด้านที่ด้านสะเดา ตรงนี้ขั้นตอนไม่ยากค่ะ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงคนเดียวอาจจะโดนถามมากหน่อย เพราะวันนั้นคนบนรถตู้สิบกว่าคนมีเราโดนถามแค่คนเดียว ว่าไปไหน กี่วัน ไปคนเดียวรึป่าว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ เมื่อเข้ามาในเขตปีนัง คนขับรถตู้จะสอบถามผู้โดยสารว่าจะลงที่ไหนบ้าง ซึ่งตรงนี้ต้องลองถามคนขับดูว่าโรงแรมที่จะไปพักนั้นไปส่งรึป่าว ส่วนของเราไม่ได้ไปส่งนะคะ เราก็ลงที่ตึกคอมต้าแล้วเดินต่อไปโรงแรม ซึ่งระหว่างทางเราก็หาร้านที่ขายซิมเพื่อที่จะได้มี internet ใช้ค่ะ แล้วก็มาเจอร้านนึงเป็นร้านขายคล้ายๆมินิมาร์ท พี่คนขายเป็นคนไทยที่มาแต่งงานที่นี่ พี่เขาเมื่อรู้ว่าเราเป็นคนไทยช่วยเหลือแนะนำเรื่องซิมอย่างดีเลยค่ะ (แต่วันนั้นลูกค้าร้านพี่เขาเยอะเลยอดของถ่ายรูปคู่เลย)
ทริปนี้เราเลือกพักที่โรงแรม GLOW Penang Hotel 3 คืน เราจองผ่าน Agodaโรงแรมนี้เป็นโรงแรมใหม่ ห้องพักใหญ่พอสักควรแต่ส่วนของห้องน้ำจะเล็กไปหน่อย ทุกอย่างในห้องพักครบครัน ใกล้ๆโรงแรมมีร้านสะดวกซื้อหลายร้าน มีของกินเยอะแยะเลยค่ะ ถ้าใครพักที่โรงแรมนี้เราแนะนำร้านเบอเกอร์รถเข็น อยู่ด้านซ้ายของโรงแรมจะขายทุกตอนเย็น ร้านเบอกอร์แบบนี้ชาวหาดใหญ่จะเรียกว่า เบอร์เกอร์บัง เรามาถึงมาเลเซียทั้งทีต้องลองเบอร์เกอร์บังของแท้ซะหน่อย รสชาติไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ จนเราต้องมาซื้อทุกเย็น
วันแรกของทริปเราเลยเริ่มด้วยการสำรวจปีนังแบบเนิบๆ ไม่รีบร้อน เหนื่อยก็พักแต่ความหิวมันไม่มีพักเลยจริงๆ เราเลยหาร้านอร่อยขึ้นชื่อใน TripAvisor แล้วร้านแรกที่เราเลือกคือ Jawi House Cafe & Gallery ร้านนี้ได้คะแนนรีวิว 4.5 เลยค่ะ ส่วนการเดินทางของเราจากโรงแรมไปร้านนี้นั้น จากที่เราเกริ่นไว้ว่าเราจะมา slow life ที่นี่ข้อมูลเลยแทบไม่ได้หามาเลย แถมไม่ได้หาด้วยว่าจะต้องเดินทางยังไง (เพลียตัวเองจริงๆ) เราก็เลยคิดว่างั้น เราลองใช้ Uber ดีกว่า app เดียวใช้ได้ทั่วโลก และก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ Uber ที่ปีนังบริการดีมาก ราคาไม่แพงเลย สะดวกมากๆๆ
เมื่อถึงร้าน Jawi House Cafe & Gallery เราก็สอบถามถึงเมนูแนะนำของร้านและก็ได้ ข้าวหมกแกะ เป็นข้าวที่หุงด้วยเครื่องเทศ ใครชอบเครื่องเทศแบบเราแนะนำมากๆค่ะ และรสชาติจานนี้บอกเลยว่าอร่อยมากกกกกกก เนื้อแกะนุ่มบวกกับเครื่งเทศหอมๆ ฟินสุดจะบรรยายเลยค่ะ เมนูของหวานเราจำชื่อเมนูนี้ไม่ได้แต่อร่อยอยู่ในเมนูแนะนำของร้านด้วย ส่วนบรรยากาศในร้านน่านั่งดีค่ะ แต่เราไม่ได้ถ่ายบรรยากาศในร้านมาเพราะมีแขกโต้ะอื่นด้วย ส่วนด้านบนของร้านจะเป็น Gallery ร้านนี้พนักงานดูแลเราดีมากๆค่ะ ใครอยากลองมาทานเมนูข้าวหมกแกะ เราแนะนำเลยว่าต้องมาร้านนี้ให้ได้
วันแรกเราตกลงกันว่าเราจะเดินสำรวจปีนังแบบช้าๆเนิบๆ (ถ้ารีบๆเดินเอาจริงไม่นานก็จะเดินทั่วค่ะ) อากาศวันแรกที่มาถึงแม้จะไม่มีแดดแต่อากาศร้อนไม่แพ้เมืองไทยเลยค่ะ
เราเดินจนมืดแล้วจึงเรียก Uber กลับโรงแรม กินมื้อค่ำกันแถวๆตลาดหน้าโรงแรมค่ะ แต่ตอนไปตลาดไม่ได้ถ่ายรูปมานะคะ เพราะมั่วแต่กินกันอยู่ลืมถ่ายรูปไปเลย เราชอบอาหารแนว street food ที่นี่เพราะให้เยอะราคาถูก แถมอร่อยถูกปากด้วยค่ะ
Day 2
วันที่สองเราตั้งใจว่าจะไปเดินหาภาพวาดที่ซ่อนไว้ตามผนังต่างๆกันค่ะ โดยวิธีการเดินทางของเราก็เหมือนเดิมค่ะ Uber คือคำตอบ
วันนี้นักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะแถมอากาศร้อนมากด้วยค่ะ เราเลยขอหลบเข้าร้านกาแฟกันก่อน
ร้าน awesome เป็นร้านฮิตอีกร้านหนึ่งเลยค่ะ ระหว่างที่เรานั่งอยู่ในร้านนักท่องเที่ยวจะแวะเวียนมาไม่ขาดสายเลย ร้านนี้เป็นอีกร้านที่น่าแวะมานั่งเล่น เพราะมีมุมให้ถ่ายรูปหลายมุมเลยค่ะ แถมอยู่ใกล้กลับย่านstreetของปีนัง หลังจากนั่งแช่อยู่ในร้านพักใหญ่ๆจนได้เวลาที่ควรออกมาเดินถ่ายรูปเล่นละ
ตามแหล่งท่องเที่ยวหรือโรงแรมในปีนังจะมีแผนที่แจกฟรีสำหรับให้เราเดินตามหารูปวาดนะคะ เพราะว่าถ้าไม่มีแผนที่บางภาพหายากเหมือนกันค่ะ
เราสองคนไม่ซีเรียสในการหาค่ะ เดินสนุกๆ บางภาพมีคนต่อแถวรอถ่ายรูปเยอะมาก เราก็ได้แค่ซึมซับบรรยากาศแล้วเดินต่อ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวเราเลยไม่ขอสู้ในการรอต่อคิวถ่ายรูปค่ะ จะเห็นได้ว่าทริปนี้เราอาจจะไม่มีรูปมาครบเหมือนท่านอื่นๆที่เคยรีวิวไว้
ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว เราเลยต้องแวะเติมทานน้ำมะพร้าวน้ำหอมกันค่ะ เสร็จแล้วก็เดินถ่ายรูปกันต่อ
หลังจากที่เราเดินถ่ายรูปเล่นและสู้กับอากาศร้อนอบอ้าวจนไม่ไหวแล้ว เราเลยขอหนีกลับโรงแรม แล้วค่อยออกมาหาอะไรทานของค่ำ อากาศที่นี่ร้อนมากจริงๆค่ะ ใครมาเที่ยวควรพกน้ำติดตัวไว้เลยค่ะ ส่วนตอนค่ำเราก็หาอะไรทานแล้วโรงแรมเหมือนเดิม
Day 3
วันที่สามของการเที่ยว วันนี้เราตั้งใจว่าจะเที่ยวแบบเก็บตก ชมเมืองเรื่อยๆเริ่มสำรวจตั้งแต่รอบๆโรงแรมไปยังย่านต่างๆค่ะ วันนี้เราจะใช้วิธีเดินเท้าเป็นหลักค่ะ ร้อนหน่อยแต่ก็อดทนเอา เพราะพรุ่งนี้เราแพลนว่าจะตื่นสายๆ check – out แล้วรอรถตู้มารับที่โรงแรมกลับหาดใหญ่เลย
วันนี้เราเริ่มเดินสำรวจจากบริเวณโรงแรมก่อนค่ะ
เราเดินมายังถนนด้านหลังของโรงแรมแล้วก็มาเจอกับร้านขาย Vespa สุดเท่ห์ด้วยความบังเอิญ เราชอบการตกแต่งร้านต่างๆในปีนังมาก ให้อารมณ์สมกับที่เป็นเมืองอาร์ตจริงๆ
มื้อเที่ยงของวันนี้เราเลยแวะทาน McDonald’s ไหนๆก็เดินผ่านมาละ
วันนี้เราตั้งใจจะไปร้านโฟสการ์ดเก๋ๆที่ชื่อว่า The Postcard Shop ให้ได้ เรารู้จักร้านนี้จากการตาม Instagram ของบล็อกเกอร์ชาวมาเลเซีย เลยเก็บในลิสต์ว่าถ้าไปปีนังต้องไปร้านนี้ให้ได้ ส่วนถ้าถามที่ตั้งว่าอยู่ตรงไหนของปีนัง จริงๆเราก็จิ้มแผนที่ให้ Uber พามา (5555 มึนๆทางก็จำไม่ได้อีก)
สิ่งที่เราชอบมากเวลามาเที่ยวคือการเขียนโพสการ์ดกลับไปหาตัวเอง
ภายในร้านนี้ห้ามถ่ายรูปนะคะ จะมีคุณป้าเจ้าของร้านเดินประกบเราอยู่ตลอดเลย แต่เราซื้อโพสการ์ดของเขาเราเลยขออนุญาตถ่ายรูป คุณป้าที่เจ้าร้านก็บอกว่าได้ๆแต่ห้ามถ่ายส่วนอื่นของร้านนะ
ระหว่างทางในเมืองปีนังมีมุมให้เราถ่ายรูปเล่นเยอะมากจริง
เสร็จจากร้านโพสการ์ดเราก็เดินกันต่อ เพื่อจะไปอีกหนึ่งร้านที่รู้จักมาจากการตาม Instagram บล็อกเกอร์ชาวมาเลเซียอีกนั้นแหละ
ร้านที่เราว่าก็คือร้านชายเสื้อผ้าแฟชั่นร้านนี้แหละค่ะ ร้านชื่อ Sixth Sense เป็นร้านน่ารักๆอีกร้านที่ใครมาปีนังเราว่าควรแวะมาเลย โดยเฉพาะสาวๆที่นี่มีเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับแฟชั่นเก๋ๆเยอะมากค่ะ แถมพนักงานในร้านน่ารักทุกคน นักท่องเที่ยวเข้ามาแค่ถ่ายรูปก็ไม่ดุนะคะ แอบบอกว่าเราใช้เวลาอยู่ในร้านนี้ค่อนข้างนานเลยค่ะ อิอิ
เนื่องจากร้าน Sixth Sense อยู่ติดกับร้านกาแฟชื่อดังอีกร้านของปีนัง คือร้าน China House ร้านนี้เป็นร้านที่เค้าแวะเข้ามาหลบร้อนค่ะ โชคดีอนที่เรามาโต้ะว่างพอดี ใครมาช้าก็ต้องรอคิวกันไป เพราะร้านนี้คิวล้นจนออกไปด้านนอกเลยค่ะ
หลังจากหลบร้อนจากร้านกาแฟเสร็จก็ถึงเวลาเดินชมเมืองเรื่อยๆกันต่อค่ะ
ช่วงบ่ายของวันที่สามเราก็ใช้เวลาเดินเนิบๆชมวิวเมืองปีนัง ดูวิถีชีวิตของผู้คนกันไป ที่รูปไม่เยอะเพราะเราก็วนกลับมาที่เดิมๆที่เคยมาแล้ว เราเลยให้เวลาปล่อยความคิดไปกับเมืองฮิปเตอร์เมืองนี้ไปเรื่อยๆ สมกับเป็นทริปเดินทอดน่องของเราจริงๆ
หลังจากเดินเล่นชมเมืองกันจนเหนื่อยเราเลยขอกลับโรงแรมมาตั้งหลักก่อน แต่นั้นแหละค่ะ ความหิวของเราทั้งคู่มันไม่หยุดพักเลยจริงๆ เราเลยหาว่าใกล้ๆโรงแรมมีร้านอะไรที่ควรไปโดนบ้าง แล้วรีวิวใน TripAdvisor ก็พาให้เรามาที่ร้าน Soul Cafe ซึ่งร้านนี้อยู่ภายในตึกแถวสีสวยๆในภาพนี้ละค่ะ ลูกค้าของร้านนี้ส่วนใหญ่จะไม่ใช่นักท่องเที่ยว จะเป็นคนพื้นที่ๆมาทานกับครอบครัว กลุ่มเพื่อนมากกว่า
ร้านนี้อาหารอร่อย พนักงานบริการดีแถมหน้าตาน่ารักแบบเกาหลีด้วยค่ะ สมชื่อร้านจริงๆ สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศอาหาร street food ร้านนี้เป็นอีกร้านที่น่ามาลองนะคะ
ส่วนตอนค่ำของเราก็เหมือนเดิมเรากินอาหาร street food ใกล้ๆโรงแรม เพราะตลาดแถวนั้นมีอะไรให้ลองเยอะมากจริงๆค่ะ
Day 4 and บทสรุปปีนัง
วันสุดท้ายเราไม่ได้ออกไปเที่ยวไหน เพราะวันนี้ตั้งใจจะตื่นสายๆ อาบน้ำ check – out แล้วรอรถตู้ที่จองไว้มารับกลับหาดใหญ่ โดยขากลับรถตู้จะมารับเราที่โรงแรมเลยค่ะ การมาเที่ยวปีนังครั้งนี้ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกของเรา แต่ปีนังก็ยังคงเป็นเมืองเล็กๆที่ทำให้เราตกหลุมรัก ปีนังเป็นเมืองเล็กๆที่มีเสน่ห์มากเมืองหนึ่ง เป็นเมืองในประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทางง่าย เที่ยวง่ายไม่ต่างจากไทยเลยแค่ใช้ภาษาอังกฤษ เราแนะนำว่าใครชอบเมืองฮิปเตอร์อาร์ตๆ ปีนังเป็นเมืองที่คุณจะหลงรักที่นี่ ส่วนใครไฮเปอร์แบบเราแนะนำว่าใช้เวลาอยู่ที่นี่ 3วัน 2คืน ก็เพียงพอ และใครที่อยากเริ่มเที่ยวต่างประเทศ มีเวลาไม่เยอะ งบจำกัด ปีนัง เป็นอีกหนึ่งเมืองที่อยากแนะนำให้คุณมา
บทสรุปปีนัง
ค่าใช้จ่าย***อัตราแลกเปลี่ยน 1ริงกิต = 8บาท
- รถตู้ไปกลับ หาดใหญ่ – ปีนัง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ksttravelthailand.com/
- ซิมโทรศัพท์ เราซื้อซิม Digi ใช้เน็ตได้ 2.5 gb ราคา 18 ริงกิต (เราอยู่4วันเล่นเน็ตตลอด ยังเหลือๆ)
- Uber การเดินทางที่เหมาะสำหรับคนไม่เตรยมข้อมูลแบบเรา นั่งสบายๆ ชมเมืองเพลินๆ คนขับ Uber ที่นี้มารยาทดีทุกคน แถม GPRS ตรงเป้ะ
- ควรแลกเงินมาให้พอ เพราะถ้ามากด ATM ที่นี่เรทจะแพงกว่าใช้บัรเครดิตเยอะเลย
- ค่ากิน จะเห็นว่าค่ากินเราเยอะ เพราะเราจะกินอาหารแนวstreet food สลับไปกับการนั่งร้านสบายๆบ้าง แต่ราคานี้ที่เรากินไปคือ อิ่มอ้วนทุกวัน 555
ปล. รีวิวนี้อาจจะไม่ได้มีข้อมูลครบถ้วน แต่อยากให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่เริ่มออกเดินทาง
ขอบคุณสำหรับการติดตาม #บันทึกนักหนีเที่ยว มากๆนะคะ
แล้วครั้งหน้าเราหนีไปเที่ยวด้วยกันอีกนะ